บทความน่าสนใจ
ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ
ทำความรู้จักกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศในระยะ 5 ปี ของประเทศไทย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ให้คำแนะนำ และทักทายเราได้ทาง headoffice@merajconsultinggroup.com แล้วมาร่วมสร้างประเทศไทยไปด้วยกันนะครับ!

ความมั่นคงทางอาหาร
Food Security

ความมั่นคงทางอาหาร
Food Security
Food Security – ความมั่นคงทางอาหาร
หากดูไทม์ไลน์การเดินทางของคำว่า ‘ความมั่นทางอาหาร’ (Food Security) จะพบว่าสอดคล้องกับสถานการณ์อาหารในสังคม ณ ขณะนั้น และวิธีที่คนยุคนั้น ๆ เลือกจะแก้ไขปัญหา เริ่มจากทศวรรษที่ 1960 (พ.ศ. 2503) ในช่วงที่โลก ‘ขาดแคลนอาหาร’ การแก้ไขปัญหาจึงเน้นไปที่การเร่งผลิตให้มีปริมาณอาหารมากที่สุด เพื่อให้ ‘มี’ เพียงพอสำหรับการบริโภคเป็นหลัก แต่การเปลี่ยนโฉมหน้าภาคเกษตรกรรมด้วยการหันมาใช้เทคโนโลยี สารเคมี และการตัดต่อยีนส์เพื่อให้มีอาหารปริมาณมากนั้นกลับพบว่า ‘ความหิวโหย’ (Hunger) ในหมู่คนยากจนยังคงไม่หมดไปทั้งที่มีอาหารอยู่มากมาย ทำให้ในทศวรรษที่ 1980 (พ.ศ. 2523) โลกหันมาพูดถึง ‘การเข้าถึงอาหาร’ ที่จะต้องใช้อำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม กระจายอาหารให้ถึงปากท้องคนทุกคนได้จริง ๆ ไม่ว่าจะมีฐานะเป็นอย่างไร และต่อมาในทศวรรษที่ 1990 (พ.ศ. 2533) ความมั่นคงทางอาหารจึงได้ขยายให้ครอบคลุมมิติ ‘ความปลอดภัยทางอาหาร’ ด้วย ได้แก่ คุณภาพ-คุณค่าทางอาหารและโภชนาการที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนั้นแล้ว แค่มีอาหารยังไม่พอ แต่ต้องเป็น ‘อาหารที่ดีต่อสุขภาพ’ ด้วย
“ความมั่นคงทางอาหารหมายถึงคนทุกคนทั้งในระดับบุคคล ระดับครัวเรือน ระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก สามารถเข้าถึงอาหารที่เพียงพอ ความปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการทั้งในทางกายภาพและเศรษฐกิจที่ตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี”
– World Food Summit 1996 กรุงโรม, อิตาลี
ส่วนนิยามในปัจจุบันนี้ได้ยึดตามที่องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กำหนดไว้ซึ่งไม่ได้แตกต่างไปจากไทม์ไลน์ข้างต้น แต่สรุปให้ง่ายขึ้นโดยอยู่ในองค์ประกอบสำคัญ 4 ข้อ ดังนี้
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: รายงาน สกว. สำรวจสถานะ SDGs เป้าหมายที่ 2 (2560)
1. การมีอาหารเพียงพอ (Food Availability) – อาหารมี ‘คุณภาพ’ ที่เหมาะสมในปริมาณที่เพียงพอ สม่ำเสมอ ซึ่งอาจได้มาจากการผลิตภายในประเทศ และ/หรือ การนำเข้าและความช่วยเหลือด้านอาหาร
2. การเข้าถึงอาหาร (Food Access) ) – ทุกคนเข้าถึงทรัพยากรภายใต้กฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศนั้น ให้ได้มาซึ่งอาหารที่มีคุณภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการ
3. การใช้ประโยชน์จากอาหาร (Food Utilization) ) – การบริโภคอาหารเพื่อตอบสนองต่อความต้องการบริโภคของคน เน้นการมีสุขภาพและสุขอนามัยที่ดี อาหารในแง่นี้รวมถึงการมีน้ำดื่มที่สะอาดถูกสุขลักษณะด้วย
4. การมีเสถียรภาพด้านอาหาร (Food Stability) ) – เกี่ยวข้องกับ ‘การมี’ และ ‘การเข้าถึง’ คือทุกคนเข้าถึงอาหารได้ตลอดเวลา ไม่มีความเสี่ยงเรื่องอาหารขาดแคลนจากวิกฤติใด ๆ ไม่ว่าจะทางเศรษฐกิจ วัฏจักรตามฤดูกาล หรือเพราะสภาพภูมิอากาศ
สำหรับไทย ก็ได้มีการนิยามความมั่นคงทางอาหารไว้อย่างเป็นทางการและสอดคล้องกับคำนิยามดังที่กล้าวไว้ข้างต้นด้วย โดยบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ พ.ศ.2551 ว่าหมายถึง
… “การเข้าถึงอาหารที่มีอย่างเพียงพอสำหรับการบริโภคของประชาชนในประเทศ อาหารมีความปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมตามความต้องการตามวัยเพื่อการมีสุขภาวะที่ดี รวมทั้งการมีระบบการผลิตที่เกื้อหนุน รักษาความสมดุลของระบบนิเวศและความคงอยู่ของฐานทรัพยากรอาหารทางธรรมชาติของประเทศ ทั้งในภาวะปกติหรือเกิดภัยพิบัติ สาธารณภัย หรือการก่อการร้ายอันเกี่ยวเนื่องจากอาหาร”
นอกจากนี้ ความมั่นคงทางอาหารยังมีการพูดในรายละเอียดแยกย่อยออกไปอีก ด้วยความที่มีความเป็นพลวัตและขึ้นอยู่กับบริบทของชุมชน-ประเทศ ทั้งยังมีเรื่องของรายได้-ความยากจน และเศรษฐกิจด้วย เช่นว่าความไม่มั่นคงทางอาหารในเรื่องของการเข้าถึงอาหารในประเทศพัฒนาแล้ว (มีเงินแต่ไม่มีอาหารเพียงพอ) และประเทศกำลังพัฒนา (มีอาหารเพียงพอแต่ไม่มีเงิน) ก็ยังมีความแตกต่างกัน ตลอดจนความสามารถ (หรือความเปราะบางเกินไป) ที่จะรับมือกับความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนของสถานการณ์อาหาร
เพื่อให้อธิบายความหมายได้ครบถ้วนและรวบรัด จึงขอทิ้งท้ายด้วยคำว่า ‘ความไม่มั่นคงทางอาหาร’ โดยคร่าว จากข้อมูลของ FAO ที่ได้นำ ‘ระยะเวลา’ มาวิเคราะห์ร่วม เป็นความไม่มั่นคงทางอาหารเรื้อรังและความไม่มั่นคงทางอาหารชั่วคราว และระบบการแบ่งความมั่นคงทางอาหารบนฐานของภาวะวิกฤติที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ (The Integrated Food Security Phase Classification: IPC) ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องภาวะทุพโภชนาการ (undernourishment) เป็นต้น
หากดูไทม์ไลน์การเดินทางของคำว่า ‘ความมั่นทางอาหาร’ (Food Security) จะพบว่าสอดคล้องกับสถานการณ์อาหารในสังคม ณ ขณะนั้น และวิธีที่คนยุคนั้น ๆ เลือกจะแก้ไขปัญหา เริ่มจากทศวรรษที่ 1960 (พ.ศ. 2503) ในช่วงที่โลก ‘ขาดแคลนอาหาร’ การแก้ไขปัญหาจึงเน้นไปที่การเร่งผลิตให้มีปริมาณอาหารมากที่สุด เพื่อให้ ‘มี’ เพียงพอสำหรับการบริโภคเป็นหลัก แต่การเปลี่ยนโฉมหน้าภาคเกษตรกรรมด้วยการหันมาใช้เทคโนโลยี สารเคมี และการตัดต่อยีนส์เพื่อให้มีอาหารปริมาณมากนั้นกลับพบว่า ‘ความหิวโหย’ (Hunger) ในหมู่คนยากจนยังคงไม่หมดไปทั้งที่มีอาหารอยู่มากมาย ทำให้ในทศวรรษที่ 1980 (พ.ศ. 2523) โลกหันมาพูดถึง ‘การเข้าถึงอาหาร’ ที่จะต้องใช้อำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม กระจายอาหารให้ถึงปากท้องคนทุกคนได้จริง ๆ ไม่ว่าจะมีฐานะเป็นอย่างไร และต่อมาในทศวรรษที่ 1990 (พ.ศ. 2533) ความมั่นคงทางอาหารจึงได้ขยายให้ครอบคลุมมิติ ‘ความปลอดภัยทางอาหาร’ ด้วย ได้แก่ คุณภาพ-คุณค่าทางอาหารและโภชนาการที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนั้นแล้ว แค่มีอาหารยังไม่พอ แต่ต้องเป็น ‘อาหารที่ดีต่อสุขภาพ’ ด้วย
“ความมั่นคงทางอาหารหมายถึงคนทุกคนทั้งในระดับบุคคล ระดับครัวเรือน ระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก สามารถเข้าถึงอาหารที่เพียงพอ ความปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการทั้งในทางกายภาพและเศรษฐกิจที่ตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี”
– World Food Summit 1996 กรุงโรม, อิตาลี
ส่วนนิยามในปัจจุบันนี้ได้ยึดตามที่องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กำหนดไว้ซึ่งไม่ได้แตกต่างไปจากไทม์ไลน์ข้างต้น แต่สรุปให้ง่ายขึ้นโดยอยู่ในองค์ประกอบสำคัญ 4 ข้อ ดังนี้

อ่านเพิ่มเติมได้ที่: รายงาน สกว. สำรวจสถานะ SDGs เป้าหมายที่ 2 (2560)
1. การมีอาหารเพียงพอ (Food Availability) – อาหารมี ‘คุณภาพ’ ที่เหมาะสมในปริมาณที่เพียงพอ สม่ำเสมอ ซึ่งอาจได้มาจากการผลิตภายในประเทศ และ/หรือ การนำเข้าและความช่วยเหลือด้านอาหาร
2. การเข้าถึงอาหาร (Food Access) ) – ทุกคนเข้าถึงทรัพยากรภายใต้กฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศนั้น ให้ได้มาซึ่งอาหารที่มีคุณภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการ
3. การใช้ประโยชน์จากอาหาร (Food Utilization) ) – การบริโภคอาหารเพื่อตอบสนองต่อความต้องการบริโภคของคน เน้นการมีสุขภาพและสุขอนามัยที่ดี อาหารในแง่นี้รวมถึงการมีน้ำดื่มที่สะอาดถูกสุขลักษณะด้วย
4. การมีเสถียรภาพด้านอาหาร (Food Stability) ) – เกี่ยวข้องกับ ‘การมี’ และ ‘การเข้าถึง’ คือทุกคนเข้าถึงอาหารได้ตลอดเวลา ไม่มีความเสี่ยงเรื่องอาหารขาดแคลนจากวิกฤติใด ๆ ไม่ว่าจะทางเศรษฐกิจ วัฏจักรตามฤดูกาล หรือเพราะสภาพภูมิอากาศ
สำหรับไทย ก็ได้มีการนิยามความมั่นคงทางอาหารไว้อย่างเป็นทางการและสอดคล้องกับคำนิยามดังที่กล้าวไว้ข้างต้นด้วย โดยบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ พ.ศ.2551 ว่าหมายถึง
… “การเข้าถึงอาหารที่มีอย่างเพียงพอสำหรับการบริโภคของประชาชนในประเทศ อาหารมีความปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมตามความต้องการตามวัยเพื่อการมีสุขภาวะที่ดี รวมทั้งการมีระบบการผลิตที่เกื้อหนุน รักษาความสมดุลของระบบนิเวศและความคงอยู่ของฐานทรัพยากรอาหารทางธรรมชาติของประเทศ ทั้งในภาวะปกติหรือเกิดภัยพิบัติ สาธารณภัย หรือการก่อการร้ายอันเกี่ยวเนื่องจากอาหาร”
นอกจากนี้ ความมั่นคงทางอาหารยังมีการพูดในรายละเอียดแยกย่อยออกไปอีก ด้วยความที่มีความเป็นพลวัตและขึ้นอยู่กับบริบทของชุมชน-ประเทศ ทั้งยังมีเรื่องของรายได้-ความยากจน และเศรษฐกิจด้วย เช่นว่าความไม่มั่นคงทางอาหารในเรื่องของการเข้าถึงอาหารในประเทศพัฒนาแล้ว (มีเงินแต่ไม่มีอาหารเพียงพอ) และประเทศกำลังพัฒนา (มีอาหารเพียงพอแต่ไม่มีเงิน) ก็ยังมีความแตกต่างกัน ตลอดจนความสามารถ (หรือความเปราะบางเกินไป) ที่จะรับมือกับความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนของสถานการณ์อาหาร
เพื่อให้อธิบายความหมายได้ครบถ้วนและรวบรัด จึงขอทิ้งท้ายด้วยคำว่า ‘ความไม่มั่นคงทางอาหาร’ โดยคร่าว จากข้อมูลของ FAO ที่ได้นำ ‘ระยะเวลา’ มาวิเคราะห์ร่วม เป็นความไม่มั่นคงทางอาหารเรื้อรังและความไม่มั่นคงทางอาหารชั่วคราว และระบบการแบ่งความมั่นคงทางอาหารบนฐานของภาวะวิกฤติที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ (The Integrated Food Security Phase Classification: IPC) ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องภาวะทุพโภชนาการ (undernourishment) เป็นต้น
- Phone:xxx-xxx-xxxx
- Email:info@merajconsultinggroup.com

BCG เศรษฐกิจสิเขียว
Bio-Circular-Green Economy

BCG เศรษฐกิจสิเขียว
Bio-Circular-Green Economy
BCG คืออะไร
ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยเพียงร้อยละ 3 ต่อปี ด้วยอัตราการเติบโตดังกล่าวไม่เพียงพอในการนำพาประเทศไทยให้ก้าวข้าม “กับดับประเทศรายได้ปานกลาง” และลดความเหลื่อมล้ำ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยอาศัยฐานความเข้มแข็งของประเทศอันประกอบด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ส่งเสริมและพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นเจ้าของสินค้าและบริการมูลค่าสูง ที่ ยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการ นำเทคโนโลยีนวัตกรรมดิจิทัลสมัยใหม่ที่ช่วยทลายข้อจำกัด ให้เกิดการก้าวกระโดดของการพัฒนาต่อยอด และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน กระจายรายได้ โอกาส และความมั่งคั่งแบบทั่วถึง (Inclusive Growth) ด้วยการใช้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า “BCG Model” ซึ่งเป็นการพัฒนา 3 เศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ BCG Model มีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และสอดรับกับหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
BCG Economy หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) คือ โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นแนวคิดการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับ 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curves) ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมพลังงานและวัสดุ อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ โดยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะเข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ผลิตที่เป็นฐานการผลิตเดิม เช่น เกษตรกรและชุมชน ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงหรือนวัตกรรม
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน คือ สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดของเสียน้อยที่สุด (Eco-design & Zero-Waste) ส่งเสริมการใช้ซ้ำ (Reuse, Refurbish, Sharing) และให้ความสำคัญกับการจัดการของเสียจากการผลิตและบริโภค ด้วยการนำวัตถุดิบที่ผ่านการผลิตและบริโภคแล้วเข้าสู่กระบวนการแปรสภาพเพื่อกลับมาใช้ใหม่ (Recycle, Upcycle) ซึ่งต่างจากระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม ที่เน้นการใช้ทรัพยากร การผลิต และการสร้างของเสีย (Linear Economy)

ภาพประกอบจาก https://7greens.tourismthailand.org/2022/09/02/โมเดลเศรษฐกิจbcg/
วิสัยทัศน์ 10 ปี
“เปลี่ยนข้อได้เปรียบ (Comparative Advantage) ที่ไทยมีจากความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ให้เป็นความสามารถในการแข่งขัน (Competitive Advantage) ด้วยนวัตกรรม เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจ BCG ที่เติบโต แข่งขันได้ในระดับโลก เกิดการกระจายรายได้ลงสู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ ชุมชนเข้มแข็ง มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน”
สำคัญอย่างไร
BCG เป็นแนวทางการพัฒนาที่สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติอย่างน้อย 5 เป้าหมาย ได้แก่ การผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์ความหลากหลาย ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การลดความเหลื่อมล้ำ อีกทั้งยังสอดรับกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นหลักสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสังคมอย่างไร
BCG จะเป็นฐานเศรษฐกิจหลักของประเทศที่สร้างมูลค่ากว่า 4.4 ล้านล้านบาท (24% GDP) ใน 5 ปีข้างหน้า และเกิดการจ้างงาน 16.5 ล้านคน
• Value creation : สร้างความมั่งคั่งและยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ประเทศมีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ขยายโอกาสทางการค้าในเวทีโลก
o มูลค่าเศรษฐกิจ BCG เพิ่มขึ้นจาก 3.4 ล้านล้านบาทในปี 2562 เป็น 4.4 ล้านล้านบาทในปี 2565
• จ้างงานรายได้สูง : สร้างงานใหม่ในอุตสาหกรรม BCG เกิดตำแหน่งงานรายได้สูง และเพิ่มระดับรายได้ของแรงงานในอุตสาหกรรม BCG
o จ้างงานกลุ่ม Highly-skill talents, Innovative entrepreneurs และงานรายได้สูง 10 ล้านตำแหน่ง ภายใน 10 ปี
o เกิด Startup และ IDEs ที่เกี่ยวกับ BCG 10,000 ราย
• ลดความเหลื่อมล้ำ : เพิ่มรายได้ชุมชนผ่านการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนสามารถดึงเอาศักยภาพพื้นที่ออกมาได้อย่างเต็มที่
o รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 240,000 บาท/ครัวเรือน/ปี
o ดัชนีความมั่นคงทางอาหารไทย Top 5 ของโลกใน 5 ปี
o การเข้าถึงยาชีววัตถุอย่างน้อย 300,000 คนต่อปี ภายใน 5 ปี
• ความมั่นคงบนฐานทรัพยากรธรรมชาติ : เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรตลอดห่วงโซ่คุณค่า ลดปริมาณของเสียจากระบบ เพื่อรักษาฐานทรัพยากรของประเทศและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
o ลดการใช้ทรัพยากรลง 2 ใน 3 จากปัจจุบัน
o ปริมาณขยะลดลง 16.5 ล้านตัน
o การจัดการท่องเที่ยวและคอนเทนต์ท่องเที่ยดีที่สุด Top 3 ของเอเชียแปซิฟิก
ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยเพียงร้อยละ 3 ต่อปี ด้วยอัตราการเติบโตดังกล่าวไม่เพียงพอในการนำพาประเทศไทยให้ก้าวข้าม “กับดับประเทศรายได้ปานกลาง” และลดความเหลื่อมล้ำ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยอาศัยฐานความเข้มแข็งของประเทศอันประกอบด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ส่งเสริมและพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นเจ้าของสินค้าและบริการมูลค่าสูง ที่ ยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการ นำเทคโนโลยีนวัตกรรมดิจิทัลสมัยใหม่ที่ช่วยทลายข้อจำกัด ให้เกิดการก้าวกระโดดของการพัฒนาต่อยอด และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน กระจายรายได้ โอกาส และความมั่งคั่งแบบทั่วถึง (Inclusive Growth) ด้วยการใช้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า “BCG Model” ซึ่งเป็นการพัฒนา 3 เศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ BCG Model มีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และสอดรับกับหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
BCG Economy หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) คือ โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นแนวคิดการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับ 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curves) ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมพลังงานและวัสดุ อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ โดยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะเข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ผลิตที่เป็นฐานการผลิตเดิม เช่น เกษตรกรและชุมชน ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงหรือนวัตกรรม
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน คือ สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดของเสียน้อยที่สุด (Eco-design & Zero-Waste) ส่งเสริมการใช้ซ้ำ (Reuse, Refurbish, Sharing) และให้ความสำคัญกับการจัดการของเสียจากการผลิตและบริโภค ด้วยการนำวัตถุดิบที่ผ่านการผลิตและบริโภคแล้วเข้าสู่กระบวนการแปรสภาพเพื่อกลับมาใช้ใหม่ (Recycle, Upcycle) ซึ่งต่างจากระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม ที่เน้นการใช้ทรัพยากร การผลิต และการสร้างของเสีย (Linear Economy)

ภาพประกอบจาก https://7greens.tourismthailand.org/2022/09/02/โมเดลเศรษฐกิจbcg/
วิสัยทัศน์ 10 ปี
“เปลี่ยนข้อได้เปรียบ (Comparative Advantage) ที่ไทยมีจากความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ให้เป็นความสามารถในการแข่งขัน (Competitive Advantage) ด้วยนวัตกรรม เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจ BCG ที่เติบโต แข่งขันได้ในระดับโลก เกิดการกระจายรายได้ลงสู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ ชุมชนเข้มแข็ง มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน”
สำคัญอย่างไร
BCG เป็นแนวทางการพัฒนาที่สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติอย่างน้อย 5 เป้าหมาย ได้แก่ การผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์ความหลากหลาย ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การลดความเหลื่อมล้ำ อีกทั้งยังสอดรับกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นหลักสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสังคมอย่างไร
BCG จะเป็นฐานเศรษฐกิจหลักของประเทศที่สร้างมูลค่ากว่า 4.4 ล้านล้านบาท (24% GDP) ใน 5 ปีข้างหน้า และเกิดการจ้างงาน 16.5 ล้านคน
• Value creation : สร้างความมั่งคั่งและยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ประเทศมีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ขยายโอกาสทางการค้าในเวทีโลก
o มูลค่าเศรษฐกิจ BCG เพิ่มขึ้นจาก 3.4 ล้านล้านบาทในปี 2562 เป็น 4.4 ล้านล้านบาทในปี 2565
• จ้างงานรายได้สูง : สร้างงานใหม่ในอุตสาหกรรม BCG เกิดตำแหน่งงานรายได้สูง และเพิ่มระดับรายได้ของแรงงานในอุตสาหกรรม BCG
o จ้างงานกลุ่ม Highly-skill talents, Innovative entrepreneurs และงานรายได้สูง 10 ล้านตำแหน่ง ภายใน 10 ปี
o เกิด Startup และ IDEs ที่เกี่ยวกับ BCG 10,000 ราย
• ลดความเหลื่อมล้ำ : เพิ่มรายได้ชุมชนผ่านการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนสามารถดึงเอาศักยภาพพื้นที่ออกมาได้อย่างเต็มที่
o รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 240,000 บาท/ครัวเรือน/ปี
o ดัชนีความมั่นคงทางอาหารไทย Top 5 ของโลกใน 5 ปี
o การเข้าถึงยาชีววัตถุอย่างน้อย 300,000 คนต่อปี ภายใน 5 ปี
• ความมั่นคงบนฐานทรัพยากรธรรมชาติ : เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรตลอดห่วงโซ่คุณค่า ลดปริมาณของเสียจากระบบ เพื่อรักษาฐานทรัพยากรของประเทศและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
o ลดการใช้ทรัพยากรลง 2 ใน 3 จากปัจจุบัน
o ปริมาณขยะลดลง 16.5 ล้านตัน
o การจัดการท่องเที่ยวและคอนเทนต์ท่องเที่ยดีที่สุด Top 3 ของเอเชียแปซิฟิก
- Phone:+xx-xx-xxx-xxxx
- Email:info@merajconsultinggroup.com

พลิกฟื้นการเติบโตของประเทศไทย
Reviving Thailand's growth

พลิกฟื้นการเติบโตของประเทศไทย
Reviving Thailand's growth
ธนาคารโลกสรุป 5 ประเด็นสำคัญเพื่อปฏิรูปและพลิกฟื้นการเติบโตของประเทศไทย
25 มีนาคม 2567 ณ กรุงเทพฯ – ธนาคารโลกได้เปิดตัว รายงานการวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ ฉบับปี 2567 (Systemic Country Diagnostic Update: SCD Update) สำหรับประเทศไทย โดยในรายงาน ยกระดับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ: ก้าวสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและความเจริญรุ่งเรืองของคนทุกกลุ่ม (Shifting Gears: Toward Sustainable Growth and Inclusive Prosperity) จะมีบทวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาสในการพัฒนาประเทศแบบรอบด้าน เพื่อเร่งลดปัญหาความยากจนและกระจายความเจริญอย่างทั่วถึงในรูปแบบที่ยั่งยืน รายงานดังกล่าวมุ่งเน้นที่การปรับปรุง 5 ประเด็นสำคัญ กล่าวคือ
• การเสริมสร้างความมั่นคงด้านทุนมนุษย์
• การสร้างสรรค์เศรษฐกิจเชิงนวัตกรรมและพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน
• การปลดล็อกการเติบโตในเมืองรอง
• การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
• การเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่สถาบันการเงินและการคลังของรัฐ
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบกับสภาวะตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์,ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้เพิ่มแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และประชากรของประเทศไทย แม้ในปี 2565 และ 2566 การเติบโตทางเศรษฐกิจจะเร่งตัวขึ้น แต่การฟื้นตัวของไทยก็ยังตามหลังประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน สาเหตุหลักเป็นเพราะไทยพึ่งพิงการท่องเที่ยวและการค้าระหว่างประเทศเป็นสำคัญ นอกจากนี้ การลงทุนที่ลดลง, การเติบโตของผลิตภาพที่ลดลง และภาวะประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น ก็ยิ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอีกด้วย
“ประเทศไทยเคยเติบโตไปพร้อมกับลดปัญหาความยากจนได้อย่างน่าทึ่งมาตลอดหลายทศวรรษ ซึ่งเป็นการยกระดับมาตรฐานการดำรงชีพของประชากรได้อย่างมาก” ฟาบริซิโอ ซาร์โคเน, ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าว “ในปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่าการเติบโตของประเทศไทยอยู่ในภาวะถดถอยมาเป็นเวลานาน ดังนั้น การปฏิรูปตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ (SCD Update) จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตแบบรอบด้านได้อย่างยั่งยืน การปฏิรูปดังกล่าวมีความสำคัญยิ่งต่อการผลักดันประเทศไทยให้ขยับสถานะขึ้นเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้ ด้วยคุณลักษณะของเศรษฐกิจที่มีความเท่าเทียมทางสังคมมากขึ้น ยั่งยืนยิ่งขึ้น และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ”
รายงานการวิเคราะห์มีข้อเน้นย้ำว่า การที่ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเชิงนวัตกรรมและมีความเจริญอย่างทั่วถึงมากขึ้นนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับปรุงผลลัพธ์การเรียนรู้และลดช่องว่างด้านทักษะ ผ่านการเพิ่มการลงทุนด้านการศึกษา ควบคู่ไปกับการจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการปรับรูปแบบการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี, เสริมสร้างกฎระเบียบในการแข่งขัน, ดึงดูดนักวิชาชีพที่มีทักษะ และส่งเสริมบทบาทของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนสนับสนุนนวัตกรรม

นอกจากนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องส่งเสริมแนวปฏิบัติด้านการเกษตรอย่างยั่งยืน พร้อมกับการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยมีความก้าวหน้าไปพร้อมกับการรักษาความอุดมสมบูรณ์ทางสิ่งแวดล้อม รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การป้องกันและบรรเทาการเกิดอุทกภัยและภัยแล้ง, การปรับปรุงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการกำหนดเป้าหมายสำคัญในการเปลี่ยนผ่านพลังงานเพื่อความยั่งยืน
การที่ไทยจะสามารถบรรลุผลได้ตามเป้าหมายดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของสถาบันต่าง ๆ อย่างเข้มแข็งเพื่อเอื้ออำนวยให้ไทยสามารถจัดการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคมได้ นอกจากนี้ การดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ประกอบกับวางระบบการดำเนินงานของรัฐบาลส่วนกลางกับท้องถิ่นที่ดีก็จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในระดับภูมิภาคได้เช่นกัน
“การพัฒนาทั้ง 5 ประเด็นที่สำคัญจะต้องบูรณาการร่วมกับการพัฒนาทุนมนุษย์และการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านนวัตกรรม,การเพิ่มผลิตภาพ และการพัฒนาผู้ประกอบการ การดึงดูดการลงทุน, การพัฒนาที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาทุนมนุษย์อย่างต่อเนื่องจะเป็นการปลดล็อกศักยภาพในการเติบโตและการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน” ดร. เอ๊กก้าเทอรีนา วาชาคามมาเดอเช่ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสและหัวหน้าคณะผู้เขียนรายงาน กล่าว
การจัดทำการวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ สำหรับประเทศไทย (ฉบับปรับปรุง) พ.ศ. 2567 ได้ผ่านการหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐและตัวแทนของภาคเอกชน, องค์กรเครือข่ายเพื่อการพัฒนา, องค์กรภาคประชาสังคม และสถาบันการศึกษา ซึ่งรายงานการวิเคราะห์แนวทางในการพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ ฉบับก่อนหน้าซึ่งตีพิมพ์และเผยแพร่ในปี 2559 กลับสู่เส้นทาง: ฟื้นฟูการเติบโตและประกันความมั่งคั่งสำหรับทุกคน เป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและความท้าทายที่เกี่ยวข้อง ส่วนฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2567 จะเป็นการต่อยอดจากรากฐานเดิมและมุ่งแก้ไขปัญหาตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก จึงจำเป็นต้องมุ่งเน้นในการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบอย่างเฉียบคมมากขึ้น รายงานฉบับนี้ยังประกอบด้วยประเด็นการพัฒนาในด้านใหม่ ๆ ที่สำคัญ เพื่อใช้ในกรอบความร่วมมือระดับประเทศระหว่างไทยและกลุ่มธนาคารโลก (Thailand and the World Bank Group Country Partnership Framework) ประจำปีงบประมาณ 2568-2572 อีกด้วย
25 มีนาคม 2567 ณ กรุงเทพฯ – ธนาคารโลกได้เปิดตัว รายงานการวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ ฉบับปี 2567 (Systemic Country Diagnostic Update: SCD Update) สำหรับประเทศไทย โดยในรายงาน ยกระดับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ: ก้าวสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและความเจริญรุ่งเรืองของคนทุกกลุ่ม (Shifting Gears: Toward Sustainable Growth and Inclusive Prosperity) จะมีบทวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาสในการพัฒนาประเทศแบบรอบด้าน เพื่อเร่งลดปัญหาความยากจนและกระจายความเจริญอย่างทั่วถึงในรูปแบบที่ยั่งยืน รายงานดังกล่าวมุ่งเน้นที่การปรับปรุง 5 ประเด็นสำคัญ กล่าวคือ
• การเสริมสร้างความมั่นคงด้านทุนมนุษย์
• การสร้างสรรค์เศรษฐกิจเชิงนวัตกรรมและพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน
• การปลดล็อกการเติบโตในเมืองรอง
• การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
• การเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่สถาบันการเงินและการคลังของรัฐ
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบกับสภาวะตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์,ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้เพิ่มแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และประชากรของประเทศไทย แม้ในปี 2565 และ 2566 การเติบโตทางเศรษฐกิจจะเร่งตัวขึ้น แต่การฟื้นตัวของไทยก็ยังตามหลังประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน สาเหตุหลักเป็นเพราะไทยพึ่งพิงการท่องเที่ยวและการค้าระหว่างประเทศเป็นสำคัญ นอกจากนี้ การลงทุนที่ลดลง, การเติบโตของผลิตภาพที่ลดลง และภาวะประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น ก็ยิ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอีกด้วย
“ประเทศไทยเคยเติบโตไปพร้อมกับลดปัญหาความยากจนได้อย่างน่าทึ่งมาตลอดหลายทศวรรษ ซึ่งเป็นการยกระดับมาตรฐานการดำรงชีพของประชากรได้อย่างมาก” ฟาบริซิโอ ซาร์โคเน, ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าว “ในปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่าการเติบโตของประเทศไทยอยู่ในภาวะถดถอยมาเป็นเวลานาน ดังนั้น การปฏิรูปตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ (SCD Update) จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตแบบรอบด้านได้อย่างยั่งยืน การปฏิรูปดังกล่าวมีความสำคัญยิ่งต่อการผลักดันประเทศไทยให้ขยับสถานะขึ้นเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้ ด้วยคุณลักษณะของเศรษฐกิจที่มีความเท่าเทียมทางสังคมมากขึ้น ยั่งยืนยิ่งขึ้น และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ”
รายงานการวิเคราะห์มีข้อเน้นย้ำว่า การที่ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเชิงนวัตกรรมและมีความเจริญอย่างทั่วถึงมากขึ้นนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับปรุงผลลัพธ์การเรียนรู้และลดช่องว่างด้านทักษะ ผ่านการเพิ่มการลงทุนด้านการศึกษา ควบคู่ไปกับการจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการปรับรูปแบบการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี, เสริมสร้างกฎระเบียบในการแข่งขัน, ดึงดูดนักวิชาชีพที่มีทักษะ และส่งเสริมบทบาทของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนสนับสนุนนวัตกรรม

นอกจากนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องส่งเสริมแนวปฏิบัติด้านการเกษตรอย่างยั่งยืน พร้อมกับการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยมีความก้าวหน้าไปพร้อมกับการรักษาความอุดมสมบูรณ์ทางสิ่งแวดล้อม รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การป้องกันและบรรเทาการเกิดอุทกภัยและภัยแล้ง, การปรับปรุงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการกำหนดเป้าหมายสำคัญในการเปลี่ยนผ่านพลังงานเพื่อความยั่งยืน
การที่ไทยจะสามารถบรรลุผลได้ตามเป้าหมายดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของสถาบันต่าง ๆ อย่างเข้มแข็งเพื่อเอื้ออำนวยให้ไทยสามารถจัดการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคมได้ นอกจากนี้ การดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ประกอบกับวางระบบการดำเนินงานของรัฐบาลส่วนกลางกับท้องถิ่นที่ดีก็จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในระดับภูมิภาคได้เช่นกัน
“การพัฒนาทั้ง 5 ประเด็นที่สำคัญจะต้องบูรณาการร่วมกับการพัฒนาทุนมนุษย์และการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านนวัตกรรม,การเพิ่มผลิตภาพ และการพัฒนาผู้ประกอบการ การดึงดูดการลงทุน, การพัฒนาที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาทุนมนุษย์อย่างต่อเนื่องจะเป็นการปลดล็อกศักยภาพในการเติบโตและการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน” ดร. เอ๊กก้าเทอรีนา วาชาคามมาเดอเช่ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสและหัวหน้าคณะผู้เขียนรายงาน กล่าว
การจัดทำการวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ สำหรับประเทศไทย (ฉบับปรับปรุง) พ.ศ. 2567 ได้ผ่านการหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐและตัวแทนของภาคเอกชน, องค์กรเครือข่ายเพื่อการพัฒนา, องค์กรภาคประชาสังคม และสถาบันการศึกษา ซึ่งรายงานการวิเคราะห์แนวทางในการพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ ฉบับก่อนหน้าซึ่งตีพิมพ์และเผยแพร่ในปี 2559 กลับสู่เส้นทาง: ฟื้นฟูการเติบโตและประกันความมั่งคั่งสำหรับทุกคน เป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและความท้าทายที่เกี่ยวข้อง ส่วนฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2567 จะเป็นการต่อยอดจากรากฐานเดิมและมุ่งแก้ไขปัญหาตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก จึงจำเป็นต้องมุ่งเน้นในการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบอย่างเฉียบคมมากขึ้น รายงานฉบับนี้ยังประกอบด้วยประเด็นการพัฒนาในด้านใหม่ ๆ ที่สำคัญ เพื่อใช้ในกรอบความร่วมมือระดับประเทศระหว่างไทยและกลุ่มธนาคารโลก (Thailand and the World Bank Group Country Partnership Framework) ประจำปีงบประมาณ 2568-2572 อีกด้วย
- Phone:+xx-xx-xxx-xxxx
- Email:info@merajconsultinggroup.com

รถไฟความเร็วสูง ส่งผลอะไรบ้าง
The implications of high-speed trains

รถไฟความเร็วสูง ส่งผลอะไรบ้าง
The implications of high-speed trains
รถไฟความเร็วสูง ส่งผลอะไรบ้าง
1. อำนวยความสะดวกด้านการเดินทางของประชาชน สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
2. เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ สนับสนุนเศรษฐกิจ เชื่อมต่อการค้าการลงทุน
3. เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ ขณะดำเนินการก่อสร้าง
4. เกิดการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานี ตามแนวเส้นทาง มีการให้เช่าพื้นที่ การค้าขายและการบริการ
5. เกิดการขยายตัวของเมือง แหล่งงาน แหล่งอยู่อาศัยใหม่
6. มีการพัฒนาเมืองตามแนวเส้นทาง ให้เป็นศูนย์กลางความเจริญของภูมิภาค
7. ส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
ในอนาคต เมื่อโครงการเมกะโปรเจ็กต์อย่างรถไฟความเร็วสูงแล้วเสร็จ ไม่เพียงแต่จะสามารถเชื่อมต่อเมือง ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง ส่งผลต่อเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว กระจายความเจริญไปยังทุกภูมิภาคของประเทศเท่านั้น รวมทั้งยังทำให้เกิดทำเลที่อยู่อาศัยใหม่ ๆ แหล่งงาน เแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค ช่วยลดความแออัดในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้อีกทางหนึ่ง
เช่นเดียวกับที่อยู่อาศัยทำเลชานเมืองในปัจจุบันที่ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็มาจากการเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีต่าง ๆ ที่ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่นั่นเอง
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น DDproperty by PropertyGuru ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ออลพร็อพเพอร์ตี้ มีเดีย จำกัด ไม่สามารถรับรองหรือรับประกันเกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งไม่สามารถรับรองหรือรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความเหมาะสม สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะใด ๆ ของข้อมูล ตามขอบเขตสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต แม้ว่าเราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วน ณ เวลาที่เขียน แต่ข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ไม่ควรนำไปใช้ในการตัดสินใจทางการเงิน, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทางกฎหมายทันที ผู้อ่านไม่ควรใช้ข้อมูลในบทความ แทนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงและสถานการณ์ส่วนตัวของคุณได้ ทั้งนี้ เราไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากคุณเลือกที่จะนำข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ
รถไฟความเร็วสูง เปิดใช้เมื่อไหร่
1. รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ ระยะทาง 669 กิโลเมตร จำนวน 12 สถานี คาดว่าจะเปิดใช้ปี 2572 แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่
• ระยะที่ 1 กรุงเทพ-พิษณุโลก คาดเปิดใช้ปี 2572
• ระยะที่ 2 พิษณุโลก-เชียงใหม่ คาดเปิดใชปี 2575
2. รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 609 กิโลเมตร จำนวน 11 สถานี คาดว่าจะเปิดใช้ปี 2568 แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่
• ระยะที่ 1 กรุงเทพ-นครราชสีมา คาดเปิดใช้ปี 2568
• ระยะที่ 2 นครราชสีมา-หนองคาย คาดเปิดใช้ปี 2573
3. รถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ระยะทาง 220 กิโลเมตร จำนวน 9 สถานี คาดว่าจะเปิดใช้ปี 2571 แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่
• ระยะที่ 1 ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา คาดเปิดใช้ปี 2570
• ระยะที่ 2 อู่ตะเภา-ระยอง-ตราด คาดเปิดใช้ปี 2576
4. รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 970 กิโลเมตร จำนวน 12 สถานี คาดว่าจะเปิดใช้ปี 2575 แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่
• ระยะที่ 1 กรุงเทพ-หัวหิน คาดเปิดใช้ปี 2575
• ระยะที่ 2 หัวหิน-สุราษฎร์ธานี-ปาดังเบซาร์ คาดเปิดใช้ปี 2580
1. อำนวยความสะดวกด้านการเดินทางของประชาชน สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
2. เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ สนับสนุนเศรษฐกิจ เชื่อมต่อการค้าการลงทุน
3. เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ ขณะดำเนินการก่อสร้าง
4. เกิดการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานี ตามแนวเส้นทาง มีการให้เช่าพื้นที่ การค้าขายและการบริการ
5. เกิดการขยายตัวของเมือง แหล่งงาน แหล่งอยู่อาศัยใหม่
6. มีการพัฒนาเมืองตามแนวเส้นทาง ให้เป็นศูนย์กลางความเจริญของภูมิภาค
7. ส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
ในอนาคต เมื่อโครงการเมกะโปรเจ็กต์อย่างรถไฟความเร็วสูงแล้วเสร็จ ไม่เพียงแต่จะสามารถเชื่อมต่อเมือง ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง ส่งผลต่อเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว กระจายความเจริญไปยังทุกภูมิภาคของประเทศเท่านั้น รวมทั้งยังทำให้เกิดทำเลที่อยู่อาศัยใหม่ ๆ แหล่งงาน เแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค ช่วยลดความแออัดในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้อีกทางหนึ่ง
เช่นเดียวกับที่อยู่อาศัยทำเลชานเมืองในปัจจุบันที่ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็มาจากการเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีต่าง ๆ ที่ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่นั่นเอง
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น DDproperty by PropertyGuru ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ออลพร็อพเพอร์ตี้ มีเดีย จำกัด ไม่สามารถรับรองหรือรับประกันเกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งไม่สามารถรับรองหรือรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความเหมาะสม สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะใด ๆ ของข้อมูล ตามขอบเขตสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต แม้ว่าเราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วน ณ เวลาที่เขียน แต่ข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ไม่ควรนำไปใช้ในการตัดสินใจทางการเงิน, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทางกฎหมายทันที ผู้อ่านไม่ควรใช้ข้อมูลในบทความ แทนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงและสถานการณ์ส่วนตัวของคุณได้ ทั้งนี้ เราไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากคุณเลือกที่จะนำข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ
รถไฟความเร็วสูง เปิดใช้เมื่อไหร่
1. รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ ระยะทาง 669 กิโลเมตร จำนวน 12 สถานี คาดว่าจะเปิดใช้ปี 2572 แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่
• ระยะที่ 1 กรุงเทพ-พิษณุโลก คาดเปิดใช้ปี 2572
• ระยะที่ 2 พิษณุโลก-เชียงใหม่ คาดเปิดใชปี 2575
2. รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 609 กิโลเมตร จำนวน 11 สถานี คาดว่าจะเปิดใช้ปี 2568 แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่
• ระยะที่ 1 กรุงเทพ-นครราชสีมา คาดเปิดใช้ปี 2568
• ระยะที่ 2 นครราชสีมา-หนองคาย คาดเปิดใช้ปี 2573
3. รถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ระยะทาง 220 กิโลเมตร จำนวน 9 สถานี คาดว่าจะเปิดใช้ปี 2571 แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่
• ระยะที่ 1 ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา คาดเปิดใช้ปี 2570
• ระยะที่ 2 อู่ตะเภา-ระยอง-ตราด คาดเปิดใช้ปี 2576
4. รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 970 กิโลเมตร จำนวน 12 สถานี คาดว่าจะเปิดใช้ปี 2575 แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่
• ระยะที่ 1 กรุงเทพ-หัวหิน คาดเปิดใช้ปี 2575
• ระยะที่ 2 หัวหิน-สุราษฎร์ธานี-ปาดังเบซาร์ คาดเปิดใช้ปี 2580
- Phone:+xx xx xxx xxxx
- Email:info@merajconsultinggroup.com

รัฐบาล Trump จะเอื้อประโยชน์ให้สินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น
รัฐบาล Trump จะเอื้อประโยชน์ให้สินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น
รัฐบาล Trump มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ผ่านนโยบายที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐอเมริกา ตัวอย่างเช่น
• การประกาศว่า Bitcoin ทั้งหมดจะต้องถูกขุดภายในประเทศ
• การยกเลิก Capital Gain Tax สำหรับการเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลจากบริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ เช่น Cardano, Ripple และ Hedera
• การเสนอจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve เพื่อเป็นทุนสำรองของรัฐบาล
• นอกจากนี้ ยังมีการเสนอจัดตั้งคริปโตเคอร์เรนซีPolicy Council หน่วยงานภาครัฐที่จะช่วยร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องและดูแลการจัดตั้ง Strategic Reserve ของ Bitcoin ด้วย
ผู้เชี่ยวชาญให้เป้าราคา Bitcoin ไว้อย่างไรบ้าง?
หลาย ๆ นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนได้ตั้งราคาเป้าหมายของ Bitcoin ไว้ต่างกันไปตามปัจจัยที่พิจารณา ดังนี้
Bernstein
ให้ราคาเป้าหมาย Bitcoin ในสิ้นปี 2025 ที่ 200,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 6.8 ล้านล้านบาท) โดยอ้างอิงแรงหนุนหลักจากการที่ Trump ชนะการเลือกตั้ง, การเลือกประธาน SEC คนใหม่ที่น่าจะทำให้การใช้งานคริปโตเคอร์เรนซีหลากหลายขึ้น, และความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve

Cathie Wood (ARK Invest)
ให้ราคาเป้าหมาย Bitcoin ในสิ้นปี 2030 โดยแยกเป็น Bull Case (1.48 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 51 ล้านบาท), Base Case (682,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 23.5 ล้านบาท) และ Bear Case (258,500 ดอลลาร์ หรือประมาณ 8.9 ล้านบาท) โดยเชื่อว่ารัฐบาล Trump จะช่วยให้การใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลกว้างขวางขึ้น
VanEck
ให้ราคาเป้าหมาย Bitcoin ในสิ้นปี 2025 ไว้ที่ 180,000 ดอลลาร์ (หรือประมาณ 6.2 ล้านบาท) โดยพิจารณาจากยอดค้นหาที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin และยอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องที่เพิ่มสูงขึ้น
FundStrat
ให้ราคาเป้าหมาย Bitcoin ในสิ้นปี 2025 ที่ 250,000 ดอลลาร์ (หรือประมาณ 8.6 ล้านบาท) โดยให้เหตุผลว่ารัฐบาล Trump น่าจะมีความเป็นมิตรกับสินทรัพย์ดิจิทัล มากกว่ารัฐบาลไบเดน และมีความเป็นไปได้ที่จะมี Bitcoin Strategic Reserve เกิดขึ้น
สรุปมุมมอง: ดอลลาร์ ทองคำ และ Bitcoin
ดอลลาร์
ดอลลาร์มีแนวโน้มเข้าสู่รอบขาลงอีกครั้ง คล้ายกับช่วง Trump 1.0 และในระยะยาวบทบาทของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองหลักอาจลดลง จากการกระจายตัวของสกุลเงินสำรองทั่วโลก
ทองคำ
ทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากการซื้อสะสมของธนาคารกลางทั่วโลก ขณะที่แรงซื้อทองคำผ่าน Gold ETF มีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจาก Real Yield ที่อยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม ทองคำอาจได้รับประโยชน์จากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) แม้ว่าราคาทองคำที่อยู่ในระดับสูง
Bitcoin
ทั้ง Bitcoin และ Ethereum ETF แสดงแนวโน้มการไหลเข้าที่แข็งแกร่งในช่วงปลายปี 2024 สะท้อนถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนในเครื่องมือการลงทุนที่ได้รับการรับรองตามกฎหมาย
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของ Hash Rate และการสนับสนุนจากรัฐบาล Trump ช่วยเสริมความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้มีการคาดการณ์ราคาของ Bitcoin ที่สูงขึ้นในอนาคต โดยมีเป้าหมายในปี 2025 อยู่ระหว่าง 180,000-250,000 ดอลลาร์
รัฐบาล Trump มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ผ่านนโยบายที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐอเมริกา ตัวอย่างเช่น
• การประกาศว่า Bitcoin ทั้งหมดจะต้องถูกขุดภายในประเทศ
• การยกเลิก Capital Gain Tax สำหรับการเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลจากบริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ เช่น Cardano, Ripple และ Hedera
• การเสนอจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve เพื่อเป็นทุนสำรองของรัฐบาล
• นอกจากนี้ ยังมีการเสนอจัดตั้งคริปโตเคอร์เรนซีPolicy Council หน่วยงานภาครัฐที่จะช่วยร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องและดูแลการจัดตั้ง Strategic Reserve ของ Bitcoin ด้วย
ผู้เชี่ยวชาญให้เป้าราคา Bitcoin ไว้อย่างไรบ้าง?
หลาย ๆ นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนได้ตั้งราคาเป้าหมายของ Bitcoin ไว้ต่างกันไปตามปัจจัยที่พิจารณา ดังนี้
Bernstein
ให้ราคาเป้าหมาย Bitcoin ในสิ้นปี 2025 ที่ 200,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 6.8 ล้านล้านบาท) โดยอ้างอิงแรงหนุนหลักจากการที่ Trump ชนะการเลือกตั้ง, การเลือกประธาน SEC คนใหม่ที่น่าจะทำให้การใช้งานคริปโตเคอร์เรนซีหลากหลายขึ้น, และความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve

Cathie Wood (ARK Invest)
ให้ราคาเป้าหมาย Bitcoin ในสิ้นปี 2030 โดยแยกเป็น Bull Case (1.48 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 51 ล้านบาท), Base Case (682,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 23.5 ล้านบาท) และ Bear Case (258,500 ดอลลาร์ หรือประมาณ 8.9 ล้านบาท) โดยเชื่อว่ารัฐบาล Trump จะช่วยให้การใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลกว้างขวางขึ้น
VanEck
ให้ราคาเป้าหมาย Bitcoin ในสิ้นปี 2025 ไว้ที่ 180,000 ดอลลาร์ (หรือประมาณ 6.2 ล้านบาท) โดยพิจารณาจากยอดค้นหาที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin และยอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องที่เพิ่มสูงขึ้น
FundStrat
ให้ราคาเป้าหมาย Bitcoin ในสิ้นปี 2025 ที่ 250,000 ดอลลาร์ (หรือประมาณ 8.6 ล้านบาท) โดยให้เหตุผลว่ารัฐบาล Trump น่าจะมีความเป็นมิตรกับสินทรัพย์ดิจิทัล มากกว่ารัฐบาลไบเดน และมีความเป็นไปได้ที่จะมี Bitcoin Strategic Reserve เกิดขึ้น
สรุปมุมมอง: ดอลลาร์ ทองคำ และ Bitcoin
ดอลลาร์
ดอลลาร์มีแนวโน้มเข้าสู่รอบขาลงอีกครั้ง คล้ายกับช่วง Trump 1.0 และในระยะยาวบทบาทของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองหลักอาจลดลง จากการกระจายตัวของสกุลเงินสำรองทั่วโลก
ทองคำ
ทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากการซื้อสะสมของธนาคารกลางทั่วโลก ขณะที่แรงซื้อทองคำผ่าน Gold ETF มีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจาก Real Yield ที่อยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม ทองคำอาจได้รับประโยชน์จากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) แม้ว่าราคาทองคำที่อยู่ในระดับสูง
Bitcoin
ทั้ง Bitcoin และ Ethereum ETF แสดงแนวโน้มการไหลเข้าที่แข็งแกร่งในช่วงปลายปี 2024 สะท้อนถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนในเครื่องมือการลงทุนที่ได้รับการรับรองตามกฎหมาย
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของ Hash Rate และการสนับสนุนจากรัฐบาล Trump ช่วยเสริมความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้มีการคาดการณ์ราคาของ Bitcoin ที่สูงขึ้นในอนาคต โดยมีเป้าหมายในปี 2025 อยู่ระหว่าง 180,000-250,000 ดอลลาร์
- Phone:+xx xx xxx xxxx
- Email:info@merajconsultinggroup.com

จ่าดำ ความกล้าหาญของทหารไทย
Sergeant Dam Memorial, the bravery of Thai soldiers

จ่าดำ ความกล้าหาญของทหารไทย
Sergeant Dam Memorial, the bravery of Thai soldiers
อนุสรณ์พ่อจ่าดำ ความกล้าหาญของทหารไทย
ประวัติความเป็นมา
เหตุการณ์การสู้รบในวันนั้น กองทัพไทยต้องสูญเสียกำลังทหาร และยุวชนทหาร ช่วยรบในจังหวัดปัตตานี สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และนครศรีธรรมราช รวมกว่า 100 นาย ดังปรากฏนามจารึกไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ ทั้ง 6 ด้านอนุสาวรีย์จ่าดำ หรือ อนุสาวรีย์วีรไทย ยังคงยืนตระหง่านบนจุด ที่ได้สู้รบปกป้องปฐพีไทยสืบมา
เรื่องราวการต่อสู้ดังกล่าวนั้น มีดังนี้ คือ ใน พ.ศ. 2482 ได้เกิดวิกฤตการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ในทวีปยุโรป โดยมีเยอรมนี และอิตาลีซึ่งเรียกว่าฝ่ายอักษะฝ่ายหนึ่ง กับสัมพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยสหราชอาณาจักร และฝรั่งเศสอีกฝ่ายหนึ่ง การสงครามได้ขยายตัวกว้างขวาง ครั้นถึง พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ สงครามได้ลุกลามเข้าสู่ทวีปเอเชีย โดยญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกพร้อมกันในประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มลายู และไทย
เมื่อเช้าตรู่วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่โจมตี ฐานทัพเรือเพิร์ลฮาเบอร์ ของ สหรัฐอเมริกา ในประเทศไทย ญี่ปุ่น ยกพลขึ้นบกพร้อมกันที่ สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช และ ปราจีนบุรี โดยที่ฝ่ายไทยไม่คาดคิด

จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นที่ตั้งกองกำลังสำคัญของภาคใต้ คือมณฑลทหารบกที่ 6 ในเวลานั้น มี พลตรีหลวงเสนาณรงค์ เป็นผู้บัญชาการมณฑล เช้าวันเกิดเหตุ ได้รับแจ้งข่าวจากนายไปรษณีย์ นครศรีธรรมราชว่า ญี่ปุ่นได้ส่งเรือรบ ประมาณ 15 ลำ มาลอยลำในอ่าวสงขลา และได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองสงขลา พลตรีหลวงเสนาณรงค์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 จึงสั่งการรับศึก และสั่งให้เตรียมกำลังเคลื่อนย้ายไปสนับสนุนกองทัพสงขลา โดยด่วน ขณะเตรียมการอยู่นั้น ก็ได้รับแจ้งจากพลทหารว่า ญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่บ้านท่าแพ ตำบลปากพูน ผู้บัญชาการมณฑลจึงสั่งการให้ทุกคน ทำการต่อสู้เต็มกำลัง โดยความมุ่งหมายที่จะมิให้กองทหารญี่ปุ่น เข้ายึดโรงทหารได้เป็นอันขาด
การสู้รบระหว่างทหารไทย ยุวชนทหาร กับทหารญี่ปุ่นเป็นไปในลักษณะประจัญหน้า พื้นที่บริเวณสู้รบอยู่ในแนวเขตทหารด้านเหนือ กับบริเวณตลาดท่าแพ มี ถนนราชดำเนิน ผ่านพื้นที่ในแนว เหนือ-ใต้ การรบทำได้ไม่สะดวกนัก เพราะ ตลอดเวลาตั้งแต่ 07.00 – 10.00 น. ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก การเตรียมรับมือข้าศึก ภายหลังที่ได้รับโทรเลขฉบับนั้น ผู้บังคับบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 จึงสั่งการให้แตรเดี่ยว ณ กองทัพรักษาการณ์ประจำกองบัญชาการ เป็นสัญญาณเหตุสำคัญ และเรียกหัวหน้าหน่วยที่ขึ้นมาประชุมที่กองบัญชาการมณฑลเพื่อเตรียมรับมือข้าศึกซึ่ง ผู้บังคับการมณฑล คาดว่าคงจะบุกขึ้นนครศรีธรรมราชด้วย (สารนครศรีธรรมราช, 2559)
คลองท่าแพ – เส้นทางที่ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเพื่อเข้ายึดนครศรีธรรมราช
และท่านพลตรีหลวงเสนาณรงค์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานยศเป็นพลเอก ได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้ในช่วงสำคัญว่า
“หลังจากที่ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ท่าแพ เพื่อจะเข้ายึดโรงทหารและสนามบินโดยไม่ให้ฝ่ายเรารู้ตัว และยิงมายังโรงทหารด้วยอาวุธทุกชนิด ซึ่งเหตุการณ์ฉุกละหุกมาก แต่อาศัยที่ทหารของเราได้เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ประกอบกับมีกำลังใจและขวัญดีอย่างประเสริฐ จึงไม่มีการกระทบกระเทือนหรือตื่นเต้นแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับมีขวัญดี ฮึกเหิม เด็ดเดี่ยว กล้าหาญอย่างดีเลิศ ข้าพเจ้าตกลงใจทันทีว่า จะให้ต่างชาติรุกเข้ามาในแผ่นดินของเราในลักษณะเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด จึงส่งกำลังทหารออกสู้รบลักษณะประชิดตัว บางส่วนเข้าตะลุมบอนกับข้าศึกด้วยดาบปลายปืน ทหารของเราแสดงความเด็ดขาด กล้าหาญ ไม่แพ้บรรพบุรุษของเรา…”
และอีกตอนหนึ่งกล่าวว่า
“ฝ่ายเราได้รุกเข้าไปจนถึงท่าเรือ ห่างจากข้าศึกเพียง 100 เมตร ส่วนย่อยของเราได้เข้าตะลุมบอน เสียงไชโยดังลั่นทุกแนวที่เรายึดคืนได้ …ข้าศึกถอยแล้ว ๆ ๆ… พวกเราร้องบอกกัน ไม่มีครั้งใดที่จะเห็นการต่อสู้อย่างทรหดจนถึงขั้นตะลุมบอนด้วยดาบปลายปืนเหมือนในครั้งนี้…”
จิตใจของทหารญี่ปุ่นที่ถูกสั่งให้มารบ กับกำลังใจของคนไทยที่ปกป้องแผ่นดินบ้านเกิดของตัวเอง จึงไม่อาจเทียบกันได้ ญี่ปุ่นคงจะต้องถอยจนตกทะเลให้ขายหน้า และจะมีการเสียบกันตายคาดาบปลายปืนอีกหลายคู่ ถ้าไม่มีแตรสัญญาณให้หยุดยิงเมื่อเวลา 11.00 น. เศษ แม้แตรสัญญาณนี้จะถูกเป่าขึ้นหลายครั้ง ก็ไม่อาจทำให้ทหารไทยที่กำลังฮึกเหิมยอมหยุดได้ จนทั้ง 2 ฝ่ายต้องจัดให้มีผู้ห้ามยิงฝ่ายละคนเดินคล้องแขนกันไปกลางแนวรบของทั้ง 2 ฝ่าย การต่อสู้นองเลือดจึงได้ยุติลงได้
ญี่ปุ่นได้ส่งผู้แทนเจรจากับฝ่ายไทย โดยมีผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 เป็นประธาน ผลการเจรจายุติการรบ สรุปได้ดังนี้ คือ ญี่ปุ่นขอให้ไทยถอนทหารจากที่ตั้งปกติไปพ้นแนวคลองสะพานราเมศวร์ ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 3 ชั่วโมง เพราะญี่ปุ่นต้องการใช้สนามบินโดยด่วน
ฝ่ายไทยยินยอมให้หน่วยทหารญี่ปุ่นเข้าพักอาศัยในโรงทหารของไทยได้ทั้งหมด โดยฝ่ายไทยรวมทั้งครอบครัวนายทหารและนายสิบ จะย้ายไปพักในบริเวณตัวเมืองนครศรีธรรมราช อาศัยตามโรงเรียน วัด และบ้านพักข้าราชการ ฯลฯ ฝ่ายไทยขอขนย้ายอาวุธและสัมภาระติดตัวไปด้วย ยกเว้นอาวุธหนัก กระสุนวัตถุระเบิด และน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วน ตลอดจนเครื่องบิน แต่ฝ่ายญี่ปุ่นไม่ยินยอม ฝ่ายญี่ปุ่นแสดงความเสียใจที่มีการสู้รบกัน มีความรู้สึกเห็นใจ และยกย่องชมเชยวีรกรรมของทหารไทย สรุปผลของการสู้รบ ฝ่ายไทยเสียชีวิต 38 คน เป็นนายทหารสัญญาบัตร 3 คน นายทหารประทวน 3 คน พลทหาร 32 คน ส่วนญี่ปุ่นนั้นไม่ยอมแจ้ง
หลังสงครามมหาเอเซียบูรพายุติแล้ว ทางราชการและประชาชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ร่วมกันสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเป็นที่ระลึกและเป็นเกียรติแก่ทหารหาญของชาติตรงบริเวณที่มีการสู้รบกับทหารญี่ปุ่น โดยให้ชื่อว่า “อนุสาวรีย์วีรไทย” แต่ชาวบ้านเรียกอนุสาวรีย์นี้ว่า “อนุสาวรีย์จ่าดำ” หรือ “อนุสาวรีย์เจ้าพ่อดำ” ซึ่งตามรายชื่อของผู้เสียชีวิตจากการต่อต้านญี่ปุ่นในครั้งนี้ไม่ปรากฏว่ามีใครชื่อ “ดำ” เลย ไม่ว่าจะเป็นชั้นประทวนหรือสัญญาบัตร
แต่อย่างไรก็ตาม ร.อ.พิชิต สมภู่ ซึ่งเป็นทหารเสนารักษ์ในวันนั้น ได้ยืนยันกับผู้ใกล้ชิดว่า เป็นผู้ดึงดาบปลายปืนออกจากศพทหารไทยและญี่ปุ่นคู่หนึ่ง ฝ่ายไทยเป็นพลทหารมีชื่อจริงว่าอะไรไม่ทราบ ทราบแต่ชื่อเล่นว่า “ดำ” เมื่อตอนญี่ปุ่นบุกได้ออกวิ่งมาด้วยกันโดยไม่มีโอกาสได้ตั้งตัว พลทหารดำอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อคอกลม และคว้าปืนจากศพทหารไทยออกไปประจัญบานกับข้าศึก ตอนที่ตนจะดึงดาบปลายปืนออกจากศพทหารทั้งสองนั้น ฝ่ายญี่ปุ่นได้ขอทำพิธีสดุดีวิญญาณผู้ตายก่อนถอน และเมื่อตอนที่จะมีการสร้างอนุสาวรีย์ ยังได้บอกเล่าเรื่องราวของพลทหารดำให้ พล.ต.หลวงเสนาณรงค์ทราบ แต่ผู้ออกแบบอนุสาวรีย์เห็นว่านุ่งกางเกงขาสั้นเสื้อคอกลมดูไม่เหมาะ จึงใส่เครื่องแบบให้ ทั้งยังมีข้อสันนิษฐานอีกอย่างว่า เนื่องจากมีการบอกกล่าวร่ำลือ ว่ารูปหล่อวีรบุรุษที่ยืนอยู่บนแท่นอนุสาวรีย์นี้ เป็นนายทหารชั้นจ่านายสิบที่ประจัญบานกับทหารญี่ปุ่นด้วยดาบปลายปืนจนเสียบคาอกด้วยกันทั้งคู่ ส่วนคำว่า “ดำ” นั้น อาจจะมาจากอนุสาวรีย์นี้หล่อด้วยทองเหลือง แต่ทางราชการเกรงว่าจะมัวหมองจากอากาศ จึงเอาสีดำมาทาจนดำสนิท เลยเรียกกันว่า “จ่าดำ” ไปน (โรม บุนนาค, 2560)
ประวัติความเป็นมา
เหตุการณ์การสู้รบในวันนั้น กองทัพไทยต้องสูญเสียกำลังทหาร และยุวชนทหาร ช่วยรบในจังหวัดปัตตานี สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และนครศรีธรรมราช รวมกว่า 100 นาย ดังปรากฏนามจารึกไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ ทั้ง 6 ด้านอนุสาวรีย์จ่าดำ หรือ อนุสาวรีย์วีรไทย ยังคงยืนตระหง่านบนจุด ที่ได้สู้รบปกป้องปฐพีไทยสืบมา
เรื่องราวการต่อสู้ดังกล่าวนั้น มีดังนี้ คือ ใน พ.ศ. 2482 ได้เกิดวิกฤตการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ในทวีปยุโรป โดยมีเยอรมนี และอิตาลีซึ่งเรียกว่าฝ่ายอักษะฝ่ายหนึ่ง กับสัมพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยสหราชอาณาจักร และฝรั่งเศสอีกฝ่ายหนึ่ง การสงครามได้ขยายตัวกว้างขวาง ครั้นถึง พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ สงครามได้ลุกลามเข้าสู่ทวีปเอเชีย โดยญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกพร้อมกันในประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มลายู และไทย
เมื่อเช้าตรู่วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่โจมตี ฐานทัพเรือเพิร์ลฮาเบอร์ ของ สหรัฐอเมริกา ในประเทศไทย ญี่ปุ่น ยกพลขึ้นบกพร้อมกันที่ สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช และ ปราจีนบุรี โดยที่ฝ่ายไทยไม่คาดคิด

จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นที่ตั้งกองกำลังสำคัญของภาคใต้ คือมณฑลทหารบกที่ 6 ในเวลานั้น มี พลตรีหลวงเสนาณรงค์ เป็นผู้บัญชาการมณฑล เช้าวันเกิดเหตุ ได้รับแจ้งข่าวจากนายไปรษณีย์ นครศรีธรรมราชว่า ญี่ปุ่นได้ส่งเรือรบ ประมาณ 15 ลำ มาลอยลำในอ่าวสงขลา และได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองสงขลา พลตรีหลวงเสนาณรงค์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 จึงสั่งการรับศึก และสั่งให้เตรียมกำลังเคลื่อนย้ายไปสนับสนุนกองทัพสงขลา โดยด่วน ขณะเตรียมการอยู่นั้น ก็ได้รับแจ้งจากพลทหารว่า ญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่บ้านท่าแพ ตำบลปากพูน ผู้บัญชาการมณฑลจึงสั่งการให้ทุกคน ทำการต่อสู้เต็มกำลัง โดยความมุ่งหมายที่จะมิให้กองทหารญี่ปุ่น เข้ายึดโรงทหารได้เป็นอันขาด
การสู้รบระหว่างทหารไทย ยุวชนทหาร กับทหารญี่ปุ่นเป็นไปในลักษณะประจัญหน้า พื้นที่บริเวณสู้รบอยู่ในแนวเขตทหารด้านเหนือ กับบริเวณตลาดท่าแพ มี ถนนราชดำเนิน ผ่านพื้นที่ในแนว เหนือ-ใต้ การรบทำได้ไม่สะดวกนัก เพราะ ตลอดเวลาตั้งแต่ 07.00 – 10.00 น. ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก การเตรียมรับมือข้าศึก ภายหลังที่ได้รับโทรเลขฉบับนั้น ผู้บังคับบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 จึงสั่งการให้แตรเดี่ยว ณ กองทัพรักษาการณ์ประจำกองบัญชาการ เป็นสัญญาณเหตุสำคัญ และเรียกหัวหน้าหน่วยที่ขึ้นมาประชุมที่กองบัญชาการมณฑลเพื่อเตรียมรับมือข้าศึกซึ่ง ผู้บังคับการมณฑล คาดว่าคงจะบุกขึ้นนครศรีธรรมราชด้วย (สารนครศรีธรรมราช, 2559)
คลองท่าแพ – เส้นทางที่ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเพื่อเข้ายึดนครศรีธรรมราช
และท่านพลตรีหลวงเสนาณรงค์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานยศเป็นพลเอก ได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้ในช่วงสำคัญว่า
“หลังจากที่ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ท่าแพ เพื่อจะเข้ายึดโรงทหารและสนามบินโดยไม่ให้ฝ่ายเรารู้ตัว และยิงมายังโรงทหารด้วยอาวุธทุกชนิด ซึ่งเหตุการณ์ฉุกละหุกมาก แต่อาศัยที่ทหารของเราได้เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ประกอบกับมีกำลังใจและขวัญดีอย่างประเสริฐ จึงไม่มีการกระทบกระเทือนหรือตื่นเต้นแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับมีขวัญดี ฮึกเหิม เด็ดเดี่ยว กล้าหาญอย่างดีเลิศ ข้าพเจ้าตกลงใจทันทีว่า จะให้ต่างชาติรุกเข้ามาในแผ่นดินของเราในลักษณะเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด จึงส่งกำลังทหารออกสู้รบลักษณะประชิดตัว บางส่วนเข้าตะลุมบอนกับข้าศึกด้วยดาบปลายปืน ทหารของเราแสดงความเด็ดขาด กล้าหาญ ไม่แพ้บรรพบุรุษของเรา…”
และอีกตอนหนึ่งกล่าวว่า
“ฝ่ายเราได้รุกเข้าไปจนถึงท่าเรือ ห่างจากข้าศึกเพียง 100 เมตร ส่วนย่อยของเราได้เข้าตะลุมบอน เสียงไชโยดังลั่นทุกแนวที่เรายึดคืนได้ …ข้าศึกถอยแล้ว ๆ ๆ… พวกเราร้องบอกกัน ไม่มีครั้งใดที่จะเห็นการต่อสู้อย่างทรหดจนถึงขั้นตะลุมบอนด้วยดาบปลายปืนเหมือนในครั้งนี้…”
จิตใจของทหารญี่ปุ่นที่ถูกสั่งให้มารบ กับกำลังใจของคนไทยที่ปกป้องแผ่นดินบ้านเกิดของตัวเอง จึงไม่อาจเทียบกันได้ ญี่ปุ่นคงจะต้องถอยจนตกทะเลให้ขายหน้า และจะมีการเสียบกันตายคาดาบปลายปืนอีกหลายคู่ ถ้าไม่มีแตรสัญญาณให้หยุดยิงเมื่อเวลา 11.00 น. เศษ แม้แตรสัญญาณนี้จะถูกเป่าขึ้นหลายครั้ง ก็ไม่อาจทำให้ทหารไทยที่กำลังฮึกเหิมยอมหยุดได้ จนทั้ง 2 ฝ่ายต้องจัดให้มีผู้ห้ามยิงฝ่ายละคนเดินคล้องแขนกันไปกลางแนวรบของทั้ง 2 ฝ่าย การต่อสู้นองเลือดจึงได้ยุติลงได้
ญี่ปุ่นได้ส่งผู้แทนเจรจากับฝ่ายไทย โดยมีผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 เป็นประธาน ผลการเจรจายุติการรบ สรุปได้ดังนี้ คือ ญี่ปุ่นขอให้ไทยถอนทหารจากที่ตั้งปกติไปพ้นแนวคลองสะพานราเมศวร์ ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 3 ชั่วโมง เพราะญี่ปุ่นต้องการใช้สนามบินโดยด่วน
ฝ่ายไทยยินยอมให้หน่วยทหารญี่ปุ่นเข้าพักอาศัยในโรงทหารของไทยได้ทั้งหมด โดยฝ่ายไทยรวมทั้งครอบครัวนายทหารและนายสิบ จะย้ายไปพักในบริเวณตัวเมืองนครศรีธรรมราช อาศัยตามโรงเรียน วัด และบ้านพักข้าราชการ ฯลฯ ฝ่ายไทยขอขนย้ายอาวุธและสัมภาระติดตัวไปด้วย ยกเว้นอาวุธหนัก กระสุนวัตถุระเบิด และน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วน ตลอดจนเครื่องบิน แต่ฝ่ายญี่ปุ่นไม่ยินยอม ฝ่ายญี่ปุ่นแสดงความเสียใจที่มีการสู้รบกัน มีความรู้สึกเห็นใจ และยกย่องชมเชยวีรกรรมของทหารไทย สรุปผลของการสู้รบ ฝ่ายไทยเสียชีวิต 38 คน เป็นนายทหารสัญญาบัตร 3 คน นายทหารประทวน 3 คน พลทหาร 32 คน ส่วนญี่ปุ่นนั้นไม่ยอมแจ้ง
หลังสงครามมหาเอเซียบูรพายุติแล้ว ทางราชการและประชาชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ร่วมกันสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเป็นที่ระลึกและเป็นเกียรติแก่ทหารหาญของชาติตรงบริเวณที่มีการสู้รบกับทหารญี่ปุ่น โดยให้ชื่อว่า “อนุสาวรีย์วีรไทย” แต่ชาวบ้านเรียกอนุสาวรีย์นี้ว่า “อนุสาวรีย์จ่าดำ” หรือ “อนุสาวรีย์เจ้าพ่อดำ” ซึ่งตามรายชื่อของผู้เสียชีวิตจากการต่อต้านญี่ปุ่นในครั้งนี้ไม่ปรากฏว่ามีใครชื่อ “ดำ” เลย ไม่ว่าจะเป็นชั้นประทวนหรือสัญญาบัตร
แต่อย่างไรก็ตาม ร.อ.พิชิต สมภู่ ซึ่งเป็นทหารเสนารักษ์ในวันนั้น ได้ยืนยันกับผู้ใกล้ชิดว่า เป็นผู้ดึงดาบปลายปืนออกจากศพทหารไทยและญี่ปุ่นคู่หนึ่ง ฝ่ายไทยเป็นพลทหารมีชื่อจริงว่าอะไรไม่ทราบ ทราบแต่ชื่อเล่นว่า “ดำ” เมื่อตอนญี่ปุ่นบุกได้ออกวิ่งมาด้วยกันโดยไม่มีโอกาสได้ตั้งตัว พลทหารดำอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อคอกลม และคว้าปืนจากศพทหารไทยออกไปประจัญบานกับข้าศึก ตอนที่ตนจะดึงดาบปลายปืนออกจากศพทหารทั้งสองนั้น ฝ่ายญี่ปุ่นได้ขอทำพิธีสดุดีวิญญาณผู้ตายก่อนถอน และเมื่อตอนที่จะมีการสร้างอนุสาวรีย์ ยังได้บอกเล่าเรื่องราวของพลทหารดำให้ พล.ต.หลวงเสนาณรงค์ทราบ แต่ผู้ออกแบบอนุสาวรีย์เห็นว่านุ่งกางเกงขาสั้นเสื้อคอกลมดูไม่เหมาะ จึงใส่เครื่องแบบให้ ทั้งยังมีข้อสันนิษฐานอีกอย่างว่า เนื่องจากมีการบอกกล่าวร่ำลือ ว่ารูปหล่อวีรบุรุษที่ยืนอยู่บนแท่นอนุสาวรีย์นี้ เป็นนายทหารชั้นจ่านายสิบที่ประจัญบานกับทหารญี่ปุ่นด้วยดาบปลายปืนจนเสียบคาอกด้วยกันทั้งคู่ ส่วนคำว่า “ดำ” นั้น อาจจะมาจากอนุสาวรีย์นี้หล่อด้วยทองเหลือง แต่ทางราชการเกรงว่าจะมัวหมองจากอากาศ จึงเอาสีดำมาทาจนดำสนิท เลยเรียกกันว่า “จ่าดำ” ไปน (โรม บุนนาค, 2560)
- Phone:+xx xx xxx xxxx
- Email:info@merajconsultinggroup.com