5 ปลูกป่าเศรษฐกิจ เพื่อเครดิตคาร์บอน

โครงการปลูกป่า ปลูกต้นไม้ขายคาร์บอนเครดิต สร้างงานสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ให้เกษตรกรและประชาชน

ความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
ภูมิทัศน์ป่าไม้ไทย (Forest Landscape) คือระบบความสัมพันธ์ของความหลากหลายทางชีวภาพในนิเวศป่าเขตร้อนชื้นและความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชน
พื้นเมือง ชุมชนท้องถิ่นที่มีนิเวศ วัฒนธรรม(cultural ecology) ซึ่งไม่เพียงแต่ธำรงรักษาระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพของไทยให้สูงที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ชุมชนท้องถิ่นยังสรรค์สร้างพันธุกรรรมอาหาร สมุนไพร ระบบการผลิต การจัดการทรัพยากรที่ก่อเกิดคุณค่าทางนิเวศ เศรษฐกิจ สังคมแก่สาธารณะอย่างมากมายจนเมื่อสถานะของป่าไม้ในระดับโลกได้กลายเป็นทรัพย์สินรูปแบบใหม่ในบริบทปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เริ่มจากการพัฒนาจากแนวคิดการชดเชยคาร์บอน (Carbon offset) ด้วยการเอาธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ มาเป็นเครื่องมือแก้ปัญหา (Natural Based Solution) ดูดก๊าซคาร์บอน เป็นตัวช่วยให้แก่อุตสาหกรรมใหญ่ๆ เช่น พลังงาน การเกษตร ที่ไม่ต้องการลดก๊าซเรือนกระจกกระบวนการผลิตของตนเองอย่างเต็มที่ แต่สามารถใช้การลงทุนปลูกป่าซึ่งมีต้นทุนต่ำมาทำหน้าที่ดูดคาร์บอนแทน และได้พัฒนามาเป็นการค้าขายสิทธิในการปล่อยคาร์บอน หรือ “คาร์บอนเครดิต”
คาร์บอนเครดิตก็ได้กลายเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นในระบบตลาดคาร์บอน และได้เปลี่ยนเป้าหมายจากเดิมที่ต้องการดึงประเทศพัฒนาแล้วและภาคเอกชน
มาสนับสนุน สร้างแรงจูงใจให้ผู้สร้างมลภาวะได้ลดหรือเลิกกิจกรรมที่ทำให้เกิดโลกร้อน แต่ได้กลายเป็นผลประโยชน์แบบใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรับผิดชอบต่อธรรมชาติและสังคม คาร์บอนเครดิตได้กลายเป็น “เงินตรา” แบบใหม่ การเพิ่มพื้นที่ป่าของรัฐ การปลูกป่าของเอกชนไม่ได้เป็นแค่ CSR แต่เป็นการลงทุนเพื่อให้ได้กำไรจากคาร์บอนเครดิต และช่วยค้ำยันให้อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนยังดำเนินและเติบโตต่อไปได้ ด้วยการอ้างบรรลุเป้าหมาย “คาร์บอนเป็นกลาง” (หักลบระหว่างการปล่อยคาร์บอนกับการลดหรือดูดคาร์บอน)
2 1
รัฐไทยได้รับเอาแนวคิดตลาดคาร์บอน และคาร์บอนเครดิตมาเป็นแนวนโยบาย เริ่มจากการจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ในปี 2550 เพื่อ
พัฒนาตลาดคาร์บอน (ไม่เกี่ยวกับอุดมการณ์การปกป้องโลก รักษาธรรมชาติ แต่เป็นการจัดการธุรกิจคาร์บอน) และเริ่มกลไกซื้อขายคาร์บอนเครดิตด้วย โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ตามมาด้วยการพัฒนาโครงการจัดการป่าเพื่อคาร์บอนเครดิตที่เริ่มปรากฏชัดเจนเมื่อตัวแทนรัฐไทยได้ร่วมสนับสนุนโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเนื่องจากการทําลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่า (Reducing Emission from Deforestation and Forest Degradation: REDD และ REDD+)
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจจัดการป่าเพื่อคาร์บอนเครดิตต้องการขยายตัวรวดเร็ว โดยไม่ได้รอโครงการ REDD เมื่อรัฐบาลไทยได้จัดทำแผนการมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือน
กระจก (nationally determined contributions: NDC) โดยต้องการเพิ่มศักยภาพการดูดก๊าซคาร์บอนของป่าไม้จากเดิมที่ดูดได้ 90 ล้านตันคาร์บอนให้เพิ่มเป็น 120 ล้านตันคาร์บอนภายในปี 2580 เพื่อรองรับก๊าซคาร์บอนฯ ที่ปลดปล่อยจากภาคพลังงาน อุตสาหกรรม และการเกษตร ป่าไม้จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้บัญชีก๊าซเรือนกระจกของไทยสู่ความสมดุลบรรลุเป้าหมายคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์สุทธิ (Net ZERO) ในปี 2065 เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลไทยประกาศจะเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ถึงร้อยละ 50 ซึ่งต้องเพิ่มพื้นที่ป่าธรรมชาติอีก 11.29 ล้านไร่ และป่าเศรษฐกิจอีก 15.99 ล้านไร่ ในปี 2580 ด้วยเหตุนี้ หน่วยงานด้านป่าไม้ของรัฐ ได้แก่ กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรชายฝั่ง และกรมอุทยานแห่งชาติฯ จึงได้รับออกระเบียบเรื่องปลูกป่าและแบ่งปันผลประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต โดยกรมป่าไม้ดำเนินการทั้งในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อีก 4.5 ล้านไร่ โดยส่วนหนึ่งมีป่าชุมชนที่ขึ้นทะเบียนกว่า 11,000 แห่ง ที่ต้องเพิ่มพื้นที่ป่าอีก 3 แสนไร่ ส่วนกรมทรัพยากรชายฝั่งก็เร่งดำเนินการปลูกป่าชายเลน 3 ล้านไร่ รวมทั้งกรมอุทยานฯ ที่ต้องเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์อีก 1.28 ล้านไร่ โดยทั้งหมดนี้กำหนดให้เอกชนได้คาร์บอนเครดิตร้อยละ 90 ภาครัฐได้ร้อยละ 10 ส่วนชุมชนได้ค่าจ้างปลูกและดูแลป่า

"รัฐยังได้จัดทำโมเดลแผนพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ หมุนเวียนและสีเขียว (BCG Model) โดยมีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อดูดซับคาร์บอน 32 ล้านไร่ โดยให้ภาคเอกชนรายใหญ่เข้ามาลงทุนปลูกป่า ซึ่งก็ปรากฏภาคเอกชนที่ร่วมพัฒนาและขับเคลื่อนโมเดล BCG ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าล้วนเป็นกลุ่มทุนใหญ่ที่สร้างผลกระทบต่อโลกร้อนต่างประกาศจะลงทุนปลูกป่าเพื่อลดคาร์บอน นอกจากนี้รัฐบาลยังมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 5 ตุลาคม 2565 เปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนปลูกสวนป่าเพื่อคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ของรัฐได้"

หลักการและเหตุผลของโครงการ
ปัจจุบัน ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรป่าไม้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรทั่วโลกไม่เฉพาะ ประเทศไทย อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นหรือที่เรียกว่า สภาวะ
โลกร้อน มีสาเหตุจากปริมาณทรัพยากรป่าไม้ลดน้อยลงจากการ ลักลอบตัดไม้ทำลายป่า อีกทั้งปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงและจากโรงงานอุตสาหกรรม ต่างๆ ทำให้เกิดการสะสมห่อหุ้มผิวบรรยากาศของโลกไว้ ถ้าประชาชนทุกคนไม่ตื่นตัวเป็นผู้รู้แล้วช่วยกันเพิ่มปริมาณป่าไม้ พืชสีเขียวให้ห่อหุ้มโลกไว้ดังเช่นในอดีต โลกก็จะประสบภาวะเลวร้ายเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและความเปลี่ยนแปลงของ สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน บริษัท เมราจ คอนซัลติ้ง จำกัด จึงได้ดำเนินโครงการปลูกป่า ปลูกต้นไม้ขายคาร์บอนเครดิต สร้างงานสร้างรายได้อย่างยั่งยืนน้อมนำแนวพระราชดำริและปรัชญาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ประยุกต์ใช้ในงานด้าน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน และยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้เพื่อช่วยดูดกลืนความร้อน ลด ปริมาณก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์จากกิจกรรมของมนุษย์ ที่เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
2 1
วัตถุประสงค์ของโครงการ
3.1 เพื่อปลูกจิตสำนึกและสร้างทัศนคติของประชาชนได้เห็นความสำคัญของการปลูกต้นไม้ ปลูกป่า และตระหนักถึงความสำคัญของป่าไม้ชุมชน ปัญหาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและร่วมใจกันอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
3.2 เพื่อช่วยลดสภาวะโลกร้อนและสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืนสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรทั้งทางตรงและทางอ้อมจากผลผลิตทางการเกษตรและการขายคาร์บอนเครดิต