โครงการดำเนินการของเรา

1 ฟาร์มไก่เนื้อและไก่ไข่ครบวงจร  

โครงการเลี้ยงไก่เนื้อ

การผลิตไก่เนื้อและเนื้อไก่ เป็นธุรกิจการเกษตรด้านปศุสัตว์ที่สำคัญของประเทศไทย เป็นทั้งการผลิตเพื่อใช้เป็นอาหารสำหรับการบริโภคภายในประเทศและเพื่อเป็นสินค้าอาหารส่งออกไปขายต่างประเทศ ไทยมีความเจริญก้าวหน้าทางการผลิตไก่เนื้อและเนื้อไก่อย่างมาก เป็นที่ไว้วางใจของต่างประเทศ โดยมีญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศยุโรปเป็นลูกค้ารายใหญ่ เพราะเรามีกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐานสูงและมีความปลอดภัยทางด้านอาหารซึ่งตรงกับความต้องการของลูกค้า การผลิตไก่เนื้อและเนื้อไก่ของไทยในปัจจุบัน ทำเพื่อการบริโภคภายในประเทศประมาณ 65% และเพื่อการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศประมาณ 35% ถือเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์อันดับที่ 4 ของโลก ในปี 2558 ไทยส่งออกเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ประมาณ 6.81 แสนตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8.9 หมื่นล้านบาท และปี 2559 ไทยส่งออกเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ประมาณ 7.43 แสนตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.10 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 9.87 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.95 (ข้อมูลจาก สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย) โดยส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นประมาณ 48% และกลุ่มประเทศยุโรปประมาณ 41% และจากประมาณการแนวโน้มการส่งออกเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ของผู้ส่งออกชั้นนำของโลก 5 ราย ตั้งแต่ปี 2557 ถึงปี 2561 ของ USDA คาดว่าจะมีอัตราเพิ่มขึ้นประมาณ 3%
chicken
การผลิตไก่เนื้อเชิงอุตสาหกรรม เป็นกิจการปศุสัตว์ที่มีการลงทุนค่อนข้างสูง การผลิตไก่เนื้อ เป็นส่วนหนึ่งของกิจการผลิตเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์แบบครบวงจร หรือนิยมเรียกสั้นๆว่า “กิจการไก่ครบวงจร” กล่าวคือ จะมีกิจการที่เกี่ยวข้องประกอบกันหลายกิจการ เช่น กิจการฟาร์มไก่พันธุ์ (ไก่พ่อแม่พันธุ์หรืออาจรวมถึงไก่ปู่ย่าตายายพันธุ์ด้วย) กิจการโรงฟักไข่ กิจการฟาร์มไก่เนื้อ กิจการโรงงานอาหารสัตว์ กิจการโรงฆ่าและชำแหละไก่ และกิจการโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ เป็นต้น ปัจจุบันมีบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจด้านนี้แบบครบวงจรประมาณ 10 บริษัท และยังมีบริษัทขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งมีเฉพาะบางกิจการอีกหลายบริษัท มีกำลังการผลิตไก่เนื้อรวมกันประมาณ 33ถึง 35 ล้านตัวต่อสัปดาห์ การผลิตไก่เนื้อของตนเอง บริษัทที่ทำธุรกิจไก่ครบวงจร ทำการผลิตไก่เนื้อโดยใช้ทรัพยากรของตนเองทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อความมั่นคงในการป้อนวัตถุดิบให้แก่โรงฆ่าและชำแหละไก่ และโรงงานแปรรูปเนื้อไก่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีความสำคัญต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและการจัดการด้านการตลาดอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การทำฟาร์มไก่เนื้อเพื่อรองรับการผลิตของตนเองทั้งหมด ต้องใช้โรงเรือนเลี้ยงไก่จำนวนมาก เช่น ถ้ากำลังการผลิตของโรงฆ่าและชำแหละไก่ มีความต้องการไก่เนื้อขนาดเฉลี่ย 2.50 ก.ก. จำนวน 100,000 ตัวต่อวัน ต้องใช้โรงเรือนอีแว๊ป ขนาด 18.50 x 120 เมตร สามารถผลิตไก่เนื้อ 25,000 ตัว/โรงเรือน อัตราการผลิต 5.2 รอบ/ปี จำนวนทั้งสิ้น 280 โรงเรือน ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท นับว่าเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น บริษัทที่ทำกิจการไก่ครบวงจร มักจะทำการผลิตไก่เนื้อของตนเองประมาณ 25 - 30% ของจำนวนไก่ที่ต้องการทั้งหมด นอกจากนั้นจะใช้วิธีการอื่นเพื่อการจัดหาวัตถุดิบป้อนโรงฆ่าและชำแหละไก่อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

chicken
สถานที่ตั้ง : อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง

โครงการเลี้ยงไก่ไข่

ค่าครองชีพมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงนี้ เนื่องมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจของไทย วิกฤตการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะกับเกษตรกร จึงจำเป็นต้องลดผลกระทบและช่วยเหลือเกษตรกรโดยลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เกษตรกรทั่วไป โดยเฉพาะเกษตรกรที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ไข่ไก่ถือเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและอุดมไปด้วย สารอาหาร สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลายทั้งอาหารหวานและคาว ไข่ไก่มีราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่น สามารถบริโภคได้ทุกเพศทุกวัยดังนั้น ไข่ไก่จึงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ดังนั้นไก่ไข่จึงเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ไก่ไข่ได้รับการพัฒนา ปรับปรุง และจัดการในด้านอาหารสัตว์ จนสามารถเลี้ยงไก่ไข่ได้หลายสายพันธุ์ในสภาพแวดล้อมต่างๆ และเลี้ยงในครัวเรือน สามารถพึ่งตนเองได้และนำไปใช้เสริมสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศการดำเนินงานเป็นไปอย่างมีเหตุผล ประหยัด และมีภูมิคุ้มกัน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจึงสามารถส่งเสริมให้เลี้ยงไก่เป็นอาชีพเสริมเพื่อลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้เนื่องจากราคาไข่ ใน ปัจจุบันสูง

chicken
#วัตถุประสงค์
-สร้างความมั่นคงทางอาหารให้ประชาชนได้บริโภคไข่ ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีสุขภาพดีและทำให้ไข่ไก่เป็นแหล่งอาหารโปรตีนสำหรับครัวเรือน
-เพื่อลดรายจ่ายและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร
-เพื่อให้เกษตรกรในหมู่บ้านสามารถรวมกลุ่มกันเลี้ยงไก่ไข่ ได้ไก่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
-เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ
-เพื่อลดต้นทุนการเลี้ยงไก่ไข่ของเกษตรกร
-เพื่อสร้างการเชื่อมโยงเครือข่าย อันแข็งแกร่งระหว่าง กลุ่มเกษตรกรกับกลุ่มการตลาด

2 อุตสาหกรรมอาหารสร้างครัวโลก ผลิตอาหารป้อนสู่ตลาดไทยและตลาดโลก

2.1 เพิ่มประสิทธิภาพพืชผลการเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ กะหล่ำปลี อ้อย บุก

ความสำคัญ
พืชผลการเกษตรที่มีศักยภาพในการปลูกในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ คือ กะหล่ำปลี ที่มีการลงทุนให้เกษตรกรนำเมล็ดพันธ์ ปุ๋ย และยาฆ่าแมลงไปทำการปลูก และขายคืนผลผลิตในราคาต่ำ ทำให้เกษตรกรผู้ปลูก ไม่สามารถมีรายได้เพียงพอในขณะที่ต่างประเทศ ต้องการสั่งซื้อกะหล่ำปลีปลอดสารแบบต่อเนื่องเป็นคอนเทคฟาร์มมิ่งทำให้เป็นการเสียโอกาสของกลุ่มเกษตรกรที่จะผลิตอาหารป้อนตลาดโลก รวมถึงการสูญเสียโอกาสรับคำสั่งซื้อน้ำตาลที่ผลิตจากอ้อยของบริษัทที่มีโรงงานน้ำตาลในจังหวัดสุโขทัย และผงบุก จากบริษัทที่มีโรงงานใน จ.ตากที่มีวัตถุดิบไม่เพียงพอ การลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพพืชผลการเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ จึงมีความสำคัญ
สภาพปัจจุบันและความจำเป็นที่ต้องมีโครงการนี้
ผลผลิตทั้ง 3 ประเภท คือ วัตถุดิบที่สามารถนำมาแปรรูปเป็นอาหาร แต่จะต้องทำให้ปปลอดสารและเพียงพอกับกับการปลูกเพื่อรองรับคำสั่งซื้อต่างประเทศ โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับการแบ่งปันผลประโยชน์ อย่างโปร่งใส เป็นธรรม การเริ่มโครงการนี้ จึงมีความจำเป็นในการนำนวัตกรรมการเรียนรู้อย่างยั่งยืนมาทดลองใช้ในการสร้างความสามารถด้วยรูปแบบการเพิ่มพลังทักษะ ความรู้ และทรัพยากร มาเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิต กะหล่ำปลี อ้อย และบุก ให้มีคุณภาพมาตรฐาน เพื่อให้วัตถุดิบ ปลอดสาร ราคารองรับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศด้วยราคาที่สมเหตุสมผล สามารถแบ่งปันผลประโยชน์อย่างโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
# วัตถุประสงค์
1. เพื่อนำเงินลงทุนจากบริษัทฯ สนับสนุนพื้นที่ จ.ตาก ให้ธุรกิจปลูกผักกะหล่ำปลีปลอดสาร ผลิตรองรับมาตรฐานส่งออก ด้วยคุณภาพที่สามารถรองรับคำสั่งซื้อต่างประเทศ อย่างน้อย 30 ตู้ คอนเทรนเนอร์ต่อเดือน และขยายผลไป จ.พิษณุโลก ให้เกิดธุรกิจเพาะปลูกกะหล่ำปลี ส่งออกอย่างน้อย 30 ตู้ ต่อเดือน และเกิดธุรกิจแปรรูป กะหล่ำปลีที่คุณภาพตกเกรด มาแปรรูปเป็น กะหล่ำปลีดอง และโคสลอว์
2. เพื่อนำเงินลงทุนจากบริษัทฯ สนับสนุนบริษัทผลิตน้ำตาลจากอ้อยในจังหวัดสุโขทัย บริษัทผลิตผงบุกจากต้นบุก จ.ตาก สามารถร่วมกับทุกภาคส่วนที่มีความรู้ ความสามารถ ความชำนาญในการส่งเสริมการปลูกให้ได้ปริมาณ และคุณภาพ ที่เพียงพอกับการรับคำสั่งซื้อจากตลาดต่างประเทศในปริมาณที่เพิ่มขึ้น และสามารถขยายผลการปลูกอ้อยจาก จ.สุโขทัย ไป จ.อุตรดิตถ์ และ จาก จ.ตาก ไปยัง จ.แพร่ และจ.น่าน

2 1

2.2 เพิ่มประสิทธิผลการผลิตน้ำตาลทรายแดงออแกนิคส์

บทสรุปโครงการ
โครงการ เพิ่มประสิทธิผลการผลิตน้ำตาลทรายแดงออแกนิคส์ เป็นต้นแบบการสร้างพื้นที่ทำงานเพิ่มประสิทธิภาพน้ำตาลออแกนิคส์ ตั้งแต่ปุ๋ย สวนอ้อย และน้ำตาลทรายแดงการสร้างพื้นที่ทำงานเพิ่มประสิทธิภาพน้ำตาลออแกนิคส์ ตั้งแต่ปุ๋ย สวนอ้อย และน้ำตาลทรายแดง เป็นการต่อยอดธุรกิจการผลิตน้ำตาลทรายแดงออแกนิคส์ของผู้ประกอบการในจังหวัดอุดรธานี และที่ดินในจังหวัดสกลนคร เพื่อนำมาต่อยอดในการเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกอ้อย ทั้งคุณภาพและปริมาณ เพื่อส่งเข้าโรงงาน และเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำตาลทรายแดงส่งออกประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งเพิ่มการผลิตน้ำตาลผสม โดยสร้างโรงงานเพิ่ม ให้เป็นโรงงานในเขตฟรีโซน ในเนื้อที่ว่างของโรงงานเก่า โดยมีรายละเอียดข้อมูลเดิม ดังนี้ โรงงานผลิตน้ำตาลทรายแดง มูลค่า ที่ดิน 107-1-65 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งเครื่องจักรในการผลิต น้ำตาลทรายแดงเพื่อส่งออกประเทศญี่ปุ่น ด้วยกำลังการผลิต 400 – 500 ตัน ต่อวัน ราคา 900,000,000.บาท(เก้าร้อยล้านบาท) โรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ มูลค่า ที่ดิน 48-3-30 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งเครื่องจักรในการผลิต ด้วยกำลังการผลิต 30 – 50 ตัน ต่อวัน ราคา 300,000,000.บาท(สามร้อยล้านบาท)


ที่ดินปลูกอ้อย อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร มูลค่า ที่ดิน 2,571 – 2 – 84 ไร่ (โฉนด 38 แปลง น.ส.3 ก.67 แปลง) ราคา 120,000 บาท ต่อ ไร่ ราคา 300,000,000.บาท(สามร้อยล้านบาท) รวมมูลค่าเหมาทั้งหมดแบบเข้าร่วมลงทุนในกิจการของบริษัท พร้อมการดำเนินงาน รวมลูกค้า และซัพพลายเออร์


2 1
1. รายละเอียดโครงการ 1. วัตถุประสงค์การลงทุน
1.1 เพื่อนำลงทุนเข้าสนับสนุนเป็นหุ้นส่วนร่วมกับเจ้าของผลิตภัณฑ์น้ำตาล ที่โรงงานมีศักยภาพการผลิตที่พร้อมส่งออกได้ทันทีให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เต็มศักยภาพ
1.2 เพื่อขยายศักยภาพธุรกิจการผลิตน้ำตาลทรายแดง สู่ธุรกิจที่สร้างโอกาสทางธุรกิจเพิ่ม คือ โรงผลิตน้ำตาลผสมเป็นเขตฟรีโซน ที่แบ่งสร้างเพิ่มในโรงงานเดิม
1.3 เพื่อเพิ่มประสิทธิผลการผลิตวัตถุดิบ คือ อ้อย จากแปลงปลูกออแกนิคส์ 2,500 ไร่ ให้ได้ผลผลิต 6,250,000 กก. ต่อปี และเพิ่มไลน์การผลิต แบ่งเป็นอ้อยคั้นน้ำสดบรรจุกระป๋อง

2. เป้าหมายโครงการ
2.1 ร่วมกับบริษัทเดิม เข้าซื้อบริษัท เอ็น.อี.อโกร อินดัสทรี จำกัด ประกอบด้วยโรงงานน้ำตาลทรายแดง โรงงานปุ๋ยอินทรีย์ และ ที่ดินสำหรับปลูกอ้อย
2.2 นำเทคโนโลยีในการปลูก และผลิตน้ำตาลทรายแดงมาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
2.3 สร้างโรงงานน้ำตาลผสม และจัดตั้งเขตฟรีโซน ในพื้นที่ว่างของโรงงานน้ำตาลทรายแดง
2.4 แบ่งพื้นที่ปลูกอ้อยคั้นน้ำสด และไลน์การผลิต น้ำอ้อยบรรจุกระป๋อง เพื่อเข้าร่วมในโครงการแลกเปลี่ยนสินค้า แบบบราเธอร์ เทรด กับ หน่วยงานงานเกษตรของภาครัฐไทย และ ประเทศลาว เพื่อส่งต่อสินค้า เข้าสู่รัสเซีย
2.5 สร้างโกดังสำรองการเก็บน้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากอ้อยทุกชนิด เพื่อเป็นฮับส์ของระบบโลจิสติกส์ในการส่งน้ำตาลผ่านด่านหนองคาย เข้าสู่ประเทศจีน

2.3 สร้างโรงงานต้นแบบผลิตน้ำตาลผสม

แผนเป้าหมาย
ก่อตั้งโรงงาน ม.ค. 2025- การเตรียมการ ม.ค.-พ.ย. 2568
- เริ่มการผลิตล่วงหน้า ก.พ. 2568
- การผลิตจํานวนมากและส่งมอบ มีนาคม 2568
- แผนการผลิต 5,000 ตัน ม.ค. 2568
มีนาคม 2568 แผนการผลิต 15,000 ตัน ธันวาคม 2568
แผนการผลิต 15,000 ตัน
ที่ตั้ง : 24/6 หมู่ 2 ตําบลมาบคา , อําเภอนิคมพัฒนา ,ระยอง , ประเทศไทย 21180
2 1

2.4 ขยายผลโรงงานต้นแบบการผลิตน้ำตาลผสม และโรงงานน้ำเชื่อมในเขตฟรีโซน

บทสรุปโครงการ
จากการนำร่องการสร้างโรงงานต้นแบบน้ำตาลผสม ทำให้ผลผลิตอ้อยสามารถเข้าสู่กระบวนการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกเป็นทางเลือกในการจำหน่ายอ้อยของเกษตรกร ต่อยอดธุรกิจการลงทุนอนุสิทธิบัตรนวัตกรรมสร้างความสามารถในการแข่งขัน ที่ทดลองสร้าง S PLUS CO WORKING SPACE ได้นำสู่การปฏิบัติจริง เพื่อให้ธุรกิจของไทยมีความเข้มแข็ง อันจะส่งผลต่อสินค้าเกษตรที่คนไทยสามารถจัด การควบคุมการเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้
2 1

โดยโรงงานต้นแบบที่มีแผนเพิ่มพลังและคู่มือปฏิบัติการ ที่สามารถนำมาดำเนินธุรกิจให้มีพลังในการผลิตสินค้าที่มีศักยภาพในการแข่งขันกับผู้ประกอบการต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้มีโอกาสสามารถขยายผลรูปแบบธุรกิจสู่พื้นที่ทำงานที่สามารถพัฒนาสู่การสร้างศูนย์เพิ่มพลังธุรกิจสินค้าคอมโมดิตี้ โดยเริ่มทดลองจากผลิตภัณฑ์ น้ำตาลประเภทการแปรรูป จากน้ำตาล เป็น น้ำตาลผสม และน้ำเชื่อม เพื่อขายส่งออกสู่โรงงานผู้ผลิตขนม เครื่องดื่มในประเทศจีน ภายใต้ใบอนุญาตนำเข้าของบริษัท ฤทธิรณ789คอร์ป จำกัด แต่การส่งออกต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการจากต่างประเทศที่เข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทย และใช้กลยุทธ์การขายราคาต่ำ ทำให้การแข่งขันในโรงงานผลิตของบริษัท ประสบปัญหาไม่สามารถแข่งขันได้ การสร้างโรงงานต้นแบบน้ำตาลผสม ที่เน้นเทคนิคการเรียนรู้ สร้างองค์กรที่พร้อมนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี มาใช้ในโรงงานทำให้สามารถควบคุมคุณภาพ กำหนดปริมาณ ต้นทุนการผลิต และผลกำไรที่ชัดเจนในการดำเนินงานตามแผนเพิ่มพลังธุรกิจและคู่มือปฏิบัติการโรงงานน้ำตาลผสม ขยายผลสู่การตั้งโรงงานน้ำตาลผสมและโรงงานน้ำเชื่อมในเขตฟรีโซน เพื่อนำน้ำตาลเข้ามาจากต่างประเทศ ทำการแบ่งบรรจุ ผสม และแปรรูปเพิ่มเติมเป็นผลิตภัณฑ์ให้ความหวานประเภทอื่น ๆ สร้างโอกาสทางธุรกิจให้บริษัท ที่มีทีมงานมุ่งมั่น จะนำเครื่องมือที่มีศักยภาพมาปรับใช้ในโรงงานด้วยเทคนิคการเรียนรู้ พัฒนาธุรกิจให้เป็นองค์กรที่มีศักยภาพ ในการนำเทคโนโลยี มาขับเคลื่อนให้สามารถสร้างความเข้มแข็งในการผลิตสินค้าที่มีปริมาณจากเดือนละ 5,000 ตัน ขยายเป็นไลน์ละ 15,000 ตัน ต่อเดือน และต้องการขยายโรงงานเป็น 50,000 ตันต่อเดือนในโรงงานที่ต้องการขยายเพิ่ม และคุณภาพมาตรฐาน ราคาแข่งขันได้ แบ่งปันผลประโยชน์ โปร่งใส เป็นธรรม เป็นต้นแบบนำร่อง ที่สามารถขยายผลจากธุรกิจน้ำตาลและผลิตภัณฑ์อ้อย สู่สินค้าคอมโมโดตี้ ประเภทอื่นๆ ที่ต้องมีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ด้วยเครื่องมือทางการเงินที่มีศักยภาพ เป็นศูนย์เพิ่มพลังธุรกิจสินค้าคอมโมดิตี้ ประเภทอื่นๆ เช่น สินค้ากลุ่มแป้งมัน ข้าวสาร สินแร่
2 1
รายละเอียดโครงการ
การขยายผลโรงงานน้ำตาลผสม และโรงงานน้ำเชื่อม เป็นการต่อยอดโรงงานต้นแบบการผลิตน้ำตาลผสมให้สามารถทำธุรกิจให้ครบวงจร ด้วยการขยายโรงงานไปในเขตฟรีโซน ให้สามารถนำเข้าน้ำตาลจากต่างประเทศ มาแบ่งบรรจุ แปรรูป เพื่อส่งออกในปริมาณที่มากขึ้น ด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงิน คือ แอลซี มาสั่งซื้อสินค้านำเข้า และรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าด้วยการผลิตต่อเนื่องเป็นรายเดือนตลอดทั้งปี ให้มีเครื่องจักรที่รองรับการผลิตอย่างน้อย ไลน์ละ 50,000 ตัน พร้อมทั้งขยายผลด้วยการซื้อที่ดิน ทำการก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำเชื่อม และน้ำตาลผสมให้สามารถรับคำสั่งจากลูกค้ารายใหญ่ เช่น กลุ่มรัฐวิสาหกิจ ประเทศจีน เพื่อให้ได้น้ำเชื่อม อย่างน้อย เดือนละ 15,000 ตัน ซึ่งการดำเนินโครงการนี้ เป็นต้นแบบนำร่องการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้อย่างยั่งยืน อันเป็นอนุสิทธิบัตรการสร้างความสามารถทางการแข่งขันให้ธุรกิจสามารถสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่มีความเข้มแข็ง มาสร้างพลังด้วยทักษะ ความรู้ และทรัพยากร ที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าและบริการที่มีปริมาณเพียงพอกับความต้องการ คุณภาพมาตรฐาน ราคาแข่งขันได้ ด้วยการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างโปร่งใส เป็นธรรม ตามที่ได้ดำเนินการมาจากการทดลองปฏิบัติการใน S PLUS COWORKING SPACE จนขยายผล มาร่วมสร้างความเป็นเจ้าของกับกลุ่มทุน คือ บริษัท เมราจ คอนซัลติ้ง จำกัด ดังรายละเอียด ใน www.merajconsultinggroup.com และ www.ritthiron789corp.co.th

2.5 เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโรงแป้งมัน

1. บทสรุปโครงการ
เป็นการเสนอขายกิจการบริษัท พร้อมที่ดิน อาคาร เครื่องจักร ใบอนุญาต ของบริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 700 ล้านบาท ละเปิดดำเนินการมากว่า 15 ปี จากตัวแทน คือ นายสุรเดช โห้ประยูร โดยโรงงานแป้งมัน และ ลานแป้งมัน ของ บริษัทฯ ที่จังหวัดจันทบุรี ประกอบด้วย เอกสารสิทธิโฉนดที่ดิน 26 แปลง เนื้อที่รวม 655 -3-3.39 ไร่ สามารถผลิตแป้งมัน ได้ 280 – 300 ตัน ต่อวัน ลานมัน วันละ 300 ตัน และกำลังการผลิตในการขายไฟฟ้า ปริมาณสูงสุด 4.065 เมกะวัตต์ ที่ระดับ 22,000 โวล์ต ในราคาเหมารวมจ่ายค่าโอน ค่าภาษีในการขาย รวม 1,000,000,000 บาท (หนึ่งพันล้านบาท) โดยเสนองบลงทุนจากบริษัท เมราจ คอนซัลติ้ง จำกัด 1,400,000,000 บาทคิดเป็น 70% และบริษัท ฤทธิรณ789คอร์ป จำกัด และทีมงานถือหุ้น 30% เพื่อนำการลงทุนมาพัฒนาธุรกิจการเกษตรที่ต้องการเปลี่ยนผู้เป็นเจ้าของและพัฒนาพื้นที่ทำงาน เครื่องมือ และกระบวนการซื้อหัวมันสำปะหลังที่มีคุณภาพ เพิ่มไลน์การผลิตผลิตภัณฑ์ที่สามารถเพิ่มมูลค่า เช่น การผลิตไซรัป ผงชูรส เพื่อเพิ่มมูลค่า และราคาจำหน่ายสินค้าให้เพิ่มมากขึ้น ก่อนที่จะขายกิจการให้ต่างชาติ เป็นการทำลายอุตสาหกรรมการเกษตรเกี่ยวกับแป้งมันสำปะหลัง
2 1

2. รายละเอียดโครงการ
โครงการลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง มีรายละเอียด ธุรกิจดังนี้
หัวมันสำปะหลังสดมีแป้งเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 20 แป้งมันสำปะหลังที่สกัดจากหัวมัน สำปะหลังและไม่มีการเปลี่ยนรูปเรียกว่าแป้งดิบ (tapioca starch, native starch) ซึ่งกรรมวิธีการผลิตที่โรงงานขนาดใหญ่และขนาดกลางใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีขั้นตอน ดังนี้
ก. ชั่งน้ำหนักและวัดเปอร์เซ็นต์แป้ง
ข. ส่งเข้าเครื่องร่อนดินทรายออก
ค. ส่งเข้าเครื่องปอกเปลือก และล้าง (เครื่องเดียวกัน)
ง. นำหัวมันสดที่ล้างสะอาดแล้วเข้าเครื่องโม่ให้ละเอียด นำเข้าเครื่องแยกกากจากน้ำแป้ง กากของหัวมันที่ได้จะถูกส่งไปยังลานตาก ไว้ผสมทำอันอัดเม็ดหรือใช้หมักทำปุ๋ย
จ. นำน้ำแป้งที่ได้มาฟอกด้วยกำมะถัน เพื่อฟอกและขจัดยางมันเพื่อให้น้ำแป้งขาวและบริสุทธิ์ขึ้น
ฉ. แยกน้ำแป้งออกจากแป้ง โดยใช้เครื่องสกัดแห้งระบบแรงเหวี่ยง (centrifuge)
ช. อบให้แห้งด้วยความร้อนโดยใช้ท่อลมร้อน
ซ. แป้งที่อบแห้งแล้วจะถูกนำมาตีให้แตกตัวออกเป็นผง
ฌ. นำแป้งที่แห้งสนิทและแตกตัวเป็นผงแล้วเข้าเครื่องร่อนเอาส่วนที่หยาบออกไปและบรรจุถุงจำหน่าย
แป้งดิบ ที่ภาษาอังกฤษเรียก Starch
คือ แป้งดิบที่สกัดเอาเยื่อใยออกแล้วใช้เป็นอาหารมนุษย์ อาหารทารก เป็นเครื่องปรุงอาหารหลายชนิด ใช้ ทำวุ้นเส้น ทำเบียร์ และใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นตัวทำให้สารติดแน่น คงรูปร่าง ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมซักรีด อุตสาหกรรมทำกระดาษ แป้งเปียก แอลกอฮอล์ อะซีโตน ยา กลูโคส และแป้งแปรรูปโดยสามารถแบ่งได้ตามลักษณะการผลิตเป็น 2 ประเภท คือ
1. แป้งดิบหรือแป้งมันสำปะหลังดิบ (Native Starch) เป็นแป้งที่ได้จากหัวมันสดด้วยขบวนการแยกกากโปรตีน ฯลฯ ปัจจุบันมีโรงงานประมาณ 85 โรง แต่ทำการผลิตจริงเพียง 49 โรงงาน กำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 2 - 2.5 ล้านต้นต่อปี ผลผลิตเฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรม (ผลิตได้จริง) ประมาณ 1.76 ล้านตันต่อปี
2. แป้งมันสำปะหลังแปรรูป (Modify Starch) คือ แป้งซึ่งได้จากการนำแป้งมันสำปะหลังดิบมาเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางเคมีหรือฟิสิกส์เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโมเลกุลให้เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยปกติการผลิตแป้งมันสำปะหลังแปรรูปใช้อัตราแป้งดิบ 1 กิโลกรัมต่อแป้งแปรรูป 0.93 กิโลกรัม
แป้งดิบ ที่ภาษาอังกฤษเรียก Flour เป็นแป้งที่ไม่ได้สกัดเอาเยื่อใยออก ทำได้โดยนำหัวมันสดมาปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแห้งป่นให้ละเอียดแล้วร่อนด้วยตะแกรงร่อนแป้ง จะได้แป้งดิบที่สามารถนำมาใช้ทำขนมอบชนิดต่างๆ ได้คล้ายแป้งสาลี เช่น นำมาทำเป็นเค้ก แพนเค็ก ขนมปัง คุกกี้ พาย และสามารถนำมาทดแทนแป้งสาลี แป้งข้าวเจ้า ได้บางส่วนในอาหารบางชนิด
การใช้แป้งมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลักในการแปรรูป
ผงชูรส ผงชูรสที่ใช้ในการปรุงอาหารมีชื่อทางเคมี คือ โมโนโซเดียมกลูตาเมท (monosodium glutamate) เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แป้งมันสำปะหลังถึงประมาณร้อยละ 20 ของปริมาณแป้งที่ผลิตได้ทั้งหมด
การทำโมโนโซเดียมกลูตาเมทนั้น มีขั้นตอนการทำโดยใช้แป้ง หรือกากน้ำตาลที่เรียกว่า โมลาส (molasses) จากโรงงานน้ำตาล หรือทั้งสองอย่างมาผสมกัน หลังจากนั้น ก็เปลี่ยนย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลกลูโคส (Glucose) โดยใส่เอนโซม์อมัยเลส (amylase) และอมัยโลกลูโคซิเดส (amyloglucosidase) หมักและใส่จุลินทรีย์ที่เป็นแบคทีเรียชื่อ Micrococus glutamicus หรือ Brevibacterium spp.) และเสริมด้วยอาหารอื่นๆ เช่น ยูเรีย เพื่อเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสเป็นกรดกลูตามิค (glutamic acid) หลังจากหมักได้ที่นำไปทำปฏิกิริยากับโซดาไฟจะได้โมโนโซเดียมกลูตาเมต ทำให้ตกผลึกซึ่งเราเรียกกันว่า ผงชูรส

2.6 เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและแปรรูปผลไม้สดเพื่อการส่งออก ทุเรียน ลำไย

1.1 ความสำคัญ
ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทย พ,ศ. 2566-2570
1) การสร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพ และวัฒนธรรมด้วยการจัดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ ฟื้นฟูและการใช้ประโยชน์
2) การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง ด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่
3) การยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้ แนวคิดการสร้างความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
4) เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
ในส่วนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันภาคเกษตร โดยมีแนวทางการพัฒนา ได้แก่ 1) เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น 2) เกษตรปลอดภัย 3) เกษตรชีวภาพ 4) เกษตรแปรรูป 5) เกษตรอัจฉริยะ 6) การพัฒนาระบบนิเวศการเกษตร 7) ท่องเที่ยวเกษตรเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม 8) โครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์การเกษตร 9) การสร้างความเข้มแข็งของสถาบันเกษตรกร (สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรกร) ให้เป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ และ 10) การพัฒนาการเกษตรในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในส่วนของโครงการมีความสนใจที่จะเริ่มทดลองเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต จากสินค้าประเภท ทุเรียน โดยข้อมูลจากอ้างอิง แสดงศักยภาพทุเรียนดังแผนภาพ ด้านล่าง คือ
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline
2 1
1.2 สภาพปัจจุบันและความจำเป็นที่ต้องมีโครงการนี้
2 1

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีศักยภาพในการปลูกผลไม้ และสามารถส่งออกผลไม้ได้หลากหลายชนิด เกษตรกร มีความสามารถในการดำเนินงานได้อย่างมีศักยภาพ แต่ผลตอบแทนสู่เกษตรกรยังไม่สสามารถสร้างรายได้เป็นกอบ เป็นกำ บริษัท เมราจ คอนซัลติ้ง จำกัด จึงเห็นความสำคัญ ที่จำเป็นต้องจัดงบมาลงทุนในโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและแปรรูปผลไม้สด เพื่อการส่งออก โดยเริ่มต้น จาก ทุเรียน ราชาผลไม้ เป็นการทดลองนำร่องต้นแบบให้กับบริษัทเอกชน ที่กำลังจะเลิกกิจการและส่งต่อให้กับนายทุนต่างประเทศ มาดำเนินงานอย่างเป็นระบบ และจะตามต่อด้วยผลผลิต ลำไย ซึ่งการดำเนินงาน จะใช้แนวทางและขั้นตอนจากโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการตลาดสินค้าทุเรียนครบวงจรภายใต้ BCG Model จังหวัดสงขลา ปี พ.ศ. 2566 – 2570 ซึ่งมีขั้นตอนและวิธีการดำเนินงานที่บริษัทเอกชนสามารถนำมาขยายผลในการเพิ่มประสิทธิผลการผลิตและแปรรูปผลไม้สด เพื่อการส่งออก

2.7 เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตรังนกครบวงจร

1.1 ความสำคัญ
โครงการเพิ่มประสิทธิภาพรังนกครบวงจร เกิดขึ้นเพราะเจ้าของทรัพย์สินต้องการขายบ้านรังนก พร้อมที่ดิน อาคาร และกิจการพร้อมใบอนุญาติในราคาที่ต่ำกว่าทุน คือ ราคาประเมิน 35 ล้านบาท แต่ต้องการเงินทุนเพียง 15 ล้านบาท ด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ เมื่อวิเคราะห์ศักยภาพ และความคุ้มทุน บริษัท ฤทธิรณ789คอร์ป จำกัด จึงเสนอขอรับการลงทุนจากบริษัท เมราจ คอนซัลติ้ง จำกัด จำนวน 50 ล้านบาท เพราะมีประสบการณ์ในการนำผลิตภัณฑ์รังนกไปเปิดตลาดในประเทศจีน จึงมองเห็นโอกาสในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพรังนกครบวงจรแปลงนี้
อุตสาหกรรมรังนกก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับพื้นที่ที่มีการประกอบธุรกิจรังนก เช่น ทำให้เกิดการจ้างงานในระดับท้องถิ่น เกิดโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์รังนก เกิดการพัฒนาชุมชนในด้านต่าง ๆ ทำให้เกิดการขยายตัวของชุมชน เกิดการแข่งขันในการผลิตสินค้ารังนกให้มีคุณภาพ หรือเกิดการประชาสัมพันธ์ให้กับประเทศไทยในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตรังนกที่มีคุณภาพ ซึ่งโครงสร้างตลาดในอุตสาหกรรมรังนกทั้งรังนกถ้ำและรังนกบ้านมีรูปแบบการจัดจำหน่ายที่แตกต่างกัน เนื่องจากรังนกถ้ำมีผู้ผลิตที่ได้รับสัมปทานจำนวนน้อยราย และมีราคาผลผลิตที่สูงกว่ารังนกบ้าน อีกทั้งรังนกบ้านมีจำนวนผู้ผลิตมากกว่า โดยการซื้อขายรังนกนั้นแบ่งออกได้เป็น 2 ช่องทางหลัก คือถ้าเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ มีปริมาณรังนกที่มากเพียงพอต่อความต้องการของผู้ซื้อ ก็จะ ใช้วิธีการซื้อขายโดยตรง แต่หากเป็นผู้ประกอบการรายเล็กจะทำการซื้อขายผ่านลานประมูลเพื่อให้ผู้ ซื้อและผู้ขายได้มาตกลงราคาเพื่อทำการซื้อขายกัน ณ ลานประมูล ป้องกันการถูกกดราคาจากพ่อค้า คนกลาง หากเจ้าของรังนกบ้านต้องการจะนำรังนกของตนเองเข้ามาขายในลานประมูล จะต้องเสีย ค่าบริการสมาชิกให้แก่ลานประมูล ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด
2 1
ราคาของรังนกบ้านมักจะขึ้นอยู่กับฤดูกาลและปริมาณความต้องการในขณะนั้น ว่ามีมากน้อยเพียงใด โดยที่ไม่มีเครื่องมือหรือกฎเกณฑ์ใดมาใช้ในการแบ่งเกรดคุณภาพของรังนกดิบ ทำให้การตัดสินใจในด้านราคาขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ซื้อผู้ขายแล้วแต่จะตกลงกัน ราคารังนก บ้านในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 30,000 บาทต่อกิโลกรัม เป็นราคาที่เหมาะสมในการทำบ้าน รังนก หากมีรังนกที่เก็บได้ประมาณ 5 กิโลกรัมต่อเดือน จะมีจุดคุ้มทุนของบ้านรังนกอยู่ที่ 5 – 10 ปี การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับรังนกนั้นเริ่มต้นจากการล้างรังนกดิบที่ยังมีขนนกติดอยู่ ให้เป็นรังนกที่สะอาดหรือเรียกว่ารังนกล้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้แรงงานคนในการทำความสะอาดใน โรงงานหรือโรงล้างที่ผ่านหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร หรือ GMP (Good Manufacturing Practice) เป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียดและความชำนาญในการท า หลังจากทำความสะอาด เรียบร้อยแล้วอาจนำไปทำการขึ้นรูปใหม่เพื่อความสวยงามก่อนนำไปจำหน่าย หรือนำเศษรังนกที่มี ราคาถูกกว่าไปแปรรูปเป็นรังนกพร้อมดื่ม หรือนำไปเป็นส่วนผสมในสินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง
ถึงแม้ว่าการประกอบธุรกิจบ้านนกจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับ ชุมชน แต่การสร้างบ้านนกแอ่นในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะกับการควบคุม ผู้ประกอบการธุรกิจบ้านนกแอ่นกินรัง กล่าวคือ ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ. 2540 นกแอ่นกินรังถูกกำหนดให้เป็นสัตว์ป่า คุ้มครอง ห้ามมิให้ผู้ใดเก็บหรือครอบครอง เว้นแต่การเก็บรังนกตามธรรมชาติซึ่งได้รับการสัมปทาน จากรัฐบาลแล้วเท่านั้น แต่การสร้างบ้านนกนั้นส่วนใหญ่อยู่ในเขตชุมชนเมือง
หากผู้เกี่ยวข้องสามารถร่วมมือกันดำเนินธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตรังนกครบวงจร บนที่ดินแปลงนี้ สามารถนำไปสู่การสร้างต้นแบบนำร่องขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ ที่มีการสร้างบ้านรังนก ให้สามารถต่อยอดรวมกันเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมเพื่อการพัฒนารังนกส่งออกอย่างยั่งยืนเพราะประชากรหลัก ผู้นิยมบริโภครักนก คือ ตลาดจำหน่ายในประเทศจีน
2 1
1.2 สภาพปัจจุบันและความจำเป็นที่ต้องมีโครงการนี้
สภาพปัจจุบัน ครอบครัวเป็นเจ้าของบ้านรังนกเอง เพิ่งเริ่มเก็บผลผลิตเป็นปีที่ 2 ทำให้มั่นใจในคุณภาพวัตถุดิบของรังนกที่เก็บได้ และสามารถควบคุมต้นทุนของวัตถุดิบหลักได้เอง ไม่ต้องถูกกดราคาจากผู้จัดหาวัตถุดิบรายอื่น แต่ยังไม่มีการต่อยอด เพียงแค่ขายรังดิบ ประกอบกับในละแวกจังหวัดนครพนม และชายแดนติดประเทศลาวยังไม่มีการต่อยอดธุรกิจรังนก หากสามารถพัฒนาที่ดินและสิ่งก่อสร้างที่นี่ ให้เป็นที่ทำงาน(Work place)ที่สร้างผลิตภัณฑ์รังนกครบวงจรเพื่อป้อนเข้าสู่ประเทศจีนได้ จะทำให้เพิ่มโอกาสและรายได้จากธุรกิจรังนกได้เต็มที่ อีกทั้งการเป็นชายแดนใกล้กับประเทศลาว มีโอกาสทำ MOU ร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งในประเทศไทย และประเทศลาว ให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตรังนกให้ได้มาตรฐานการส่งออกสู่ประเทศจีน และนานาประเทศอีกหลายช่องทาง เช่น การทำบราเดอร์ เทรด (Brather Trade) ร่วมกับผู้ประกอบการและภาครัฐในประเทศลาวเพื่อส่งต่อไปประเทศที่สาม
เมื่อผลิตภัณฑ์รังนก เป็นที่ต้องการของตลาดประเทศจีน แต่โอกาสนำรังนกเข้าจำหน่ายในประเทศจีน เป็นเรื่องยากมาก การจำทำโครงการนี้ให้สำเร็จ จึงจำเป็นต้องมีข้อมูลจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกธุรกิจเพื่อที่จะเข้าใจปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจ จะทำให้สามารถนำไปวางแผนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะแบ่งออกเป็นการวิเคราะห์ในระดับมหภาค และจุลภาค

2.8 พัฒนาทรัพยากรมนุษย์กลุ่มเชฟ ด้วยการผลิตสื่อภาพยนตร์ ซีรีส์

ความสำคัญ
ประชากรโลกในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 7,600 ล้านคน จากการคาดการณ์ของ องค์การสหประชาชาติ ในปี 2050 ประชากรโลก จะเพิ่มขึ้นเป็น 9,800 ล้านคน ทั้งนี้อายุเฉลี่ยของชาวโลกจะยืนยาวขึ้น เฉลี่ยมากกว่า 65 ปี จะสูงถึงร้อยละ 81 ของประชากรโลก สวนทางกับ ทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีปริมาณจำกัดขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำ อาหาร พลังงาน เป็นบริบทให้โลกได้ตระหนักและปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต อุตสาหกรรมอาหาร ถูกจับตามากที่สุด ปริมาณความต้องการอาหารทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกวัน ดูได้จากการขยายตัวของตลาดอาหารและผลิตภัณฑ์ด้านอาหารที่เติบโตเร็วมาก ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่ามีศักยภาพในการเป็น ครัวของโลก เป็นแหล่งอาหารที่มีคุณภาพและมีการวิจัยในการผลิตอาหารที่มีประสิทธิภาพ นำไปสู่สุขภาพที่ดีและการบริโภคที่ยั่งยืนแผนปฏิบัติการด้านการจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566-2570)มีการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างความมั่นคงอาหาร และคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งครอบคลุมด้านปัจจัยการผลิตสินค้าเกษตร ศักยภาพประเทศไทยในฐานะครัวโลกจะไม่ได้รับบทบาทเพียงผู้ส่งออกอาหารอีกต่อไป แต่จะต้องเป็นผู้ร่วมบริหารความมั่นคงด้านอาหารของโลกด้วย เพื่อรับมือกับปัจจัยท้าทายต่างๆเพราะหากบริหารจัดการไม่ดี โอกาสการค้าและการส่งออกสินค้าเกษตรอาจกลายเป็นแค่ความท้าทายที่ไร้ทางออกก็เป็นได้
2 1
แผนปฏิบัติการด้านการจัดการด้านอาหารของประเทศไทย โดยเฉพาะยุทธศาสตร์อาหารศึกษา มี การดำเนินโครงการสำคัญเพื่อมุ่งเน้นส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ในเรื่องอาหารศึกษา ส่งเสริมและสร้างความรู้ ความตระหนักให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อาหาร และเกิดการ ดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและสร้างความตระหนักในการบริโภคอาหารเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ในการ บริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ อันจะนำไปสู่การพัฒนาคนในทุกช่วงวัย เริ่มตั้งแต่การเตรียมความพร้อมของหญิงวัย เจริญพันธุ์ก่อนตั้งครรภ์เพื่อให้เด็กที่คลอดมีการเจริญเติบโตเต็มศักยภาพ ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ (1) เป้าหมาย สังคมไทยมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อและสนับสนุนต่อการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต (2) ประเด็นยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ข้อ 4.2 การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต 6 (3) การบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิบัติการด้านการจัดการด้านอาหารของประเทศไทย โดยเฉพาะยุทธศาสตร์อาหารศึกษา มี การดำเนินโครงการสำคัญเพื่อมุ่งเน้นส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ในเรื่องอาหารศึกษา ส่งเสริมและสร้างความรู้ ความตระหนักให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อาหาร และเกิดการ ดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและสร้างความตระหนักในการบริโภคอาหารเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ในการ บริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ อันจะนำไปสู่การพัฒนาคนในทุกช่วงวัย เริ่มตั้งแต่การเตรียมความพร้อมของหญิงวัย เจริญพันธุ์ก่อนตั้งครรภ์เพื่อให้เด็กที่คลอดมีการเจริญเติบโตเต็มศักยภาพ

อุตสาหกรรมสร้างครัวโลก ผลิตอาหารสร้างครัวโลกผลิตอาหารป้อนสู่ตลาดไทย และตลาดโลก มีองค์ประกอบที่สำคัญในเรื่องอาหาร คือ วัตถุดิบ ผู้ปรุงอาหาร คือ เชฟ ผู้รังสรรค์ เมนูอาหาร ที่สามารถส่งต่อความอร่อยให้คนทั่วโลก ในส่วนอาหารไทย มีหลายเมนู ที่โด่งดัง เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เช่น ต้มยำกุ้ง แกงเขียวหวาน ผัดไทย ส้มตำ ผัดกะเพรา ข้าวเหนียวมะม่วง การต่อยอดเพื่อสร้างการยอมรับในสินค้าไทย จึงกลายเป็นความสำคัญที่ บริษัท เมราจ คอนซัลติ้ง จำกัด ได้จัดงบลงทุนในโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กลุ่มเชฟ ด้วยการผลิตสื่อภาพยนตร์ซีรีส์ ดังตัวอย่าง เช่น “อาหาร อร่อย” “อร่อย มาไทยต้องได้ชิม” “อาหารไทย ไม่ลองไม่ได้” การเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ ในกลุ่มผู้ประกอบการอาชีพอาหารที่เป็น พ่อครัว แม่ครัว หรือภาษาสากลตะรู้จักในชื่อ เชฟ (Chef) จึงเป็นภารกิจสำคัญในการสร้างแรงงานที่มีส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้

สภาพปัจจุบันและความจำเป็นที่ต้องมีโครงการนี้
ข้อ 2 ส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครอบครัว และชุมชนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ปลูกฝังและพัฒนาทักษะนอกห้องเรียน สร้างกระบวนการ เรียนรู้และพัฒนาทักษะของประชากรให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต สร้างความตระหนักถึง ความสำคัญของการพัฒนาตนเองและการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและพัฒนาสังคม รวมทั้งสนับสนุนด้าน วิชาการและสร้างนวัตกรรมที่สนับสนุนการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน เพื่อให้องค์กรเครือข่ายชุมชนมีความ เข้มแข็ง และมีกลไกการพัฒนาระดับพื้นที่ที่ประชาชน ชุมชน องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนา เฝ้าระวัง และติดตามการดำเนินงานส่งผลให้การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้อย่าง เป็นรูปธรรม การปลูกฝังและพัฒนาทักษะนอกห้องเรียน โดยเน้นให้พ่อแม่มีวัฒนธรรมที่ปลูกฝังให้ลูกเพิ่มพูนทักษะ การเรียนรู้ชีวิต ดนตรี กีฬา ศิลปะ รวมทั้งส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนเปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้ และจัดกระบวนการ เรียนรู้ที่หลากหลายและเหมาะสม เอื้อแก่ครอบครัวทุกลักษณะ ข้อ 3 พัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีความเชื่อมโยงและ บูรณาการ ข้อมูลด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างภาคีการพัฒนาต่างๆ โดยการเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวกับ การศึกษา การพัฒนาตนเอง สุขภาพ และการพัฒนาอาชีพในตลอดช่วงชีวิต เพื่อเสริมและสร้างศักยภาพของการ ดำเนินงานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามพันธกิจของแต่ละหน่วยงานให้มีความเข้มแข็งและตอบโจทย์ประเทศ เป็นฐานข้อมูลการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สามารถประเมิน จุดอ่อน จุดแข็ง และศักยภาพบุคคลของประเทศ น าไปสู่การตัดสินใจระดับนโยบายและปฏิบัติ เพื่อพัฒนาคนไทย อย่างมีทิศทางและสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต รวมถึงข้อมูลที่สนับสนุนการผลิตกำลังแรงงานที่ มีทักษะตรงต่อความต้องการของตลาดงานในอนาคต และใช้ประกอบการตัดสินใจในการศึกษาต่อ มีธนาคารคลัง สมองเพื่อรวบรวมผู้สูงอายุที่มีความรู้ ประสบการณ์ และทักษะเพื่อถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และทักษะให้ เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ • ซึ่งการจะทำให้เกิดผลตามแผนงานที่ระบุในข้างต้น จำเป็นต้องมีภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุน ดังนั้นโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กลุ่มเชฟ ด้วยการผลิตสื่อภาพยนตร์ซีรีส์ จึงถูกกำหนดขึ้น เพราะปัจจุบันสื่อภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับเชฟ และเมนูอาหาร ได้รับความนิยม และถูกนำเสนอทางช่อง NETFIX และช่องสารคดีต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ เรื่อง แดจังกึม ของประเทศเกาหลี Hunger เกมหิวกระหายของประเทศไทย ดังนั้น การจัดงบลงทุน ผลิตสื่อด้านนี้ จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับคนทั่วไป มีโอกาสแสดงฝีมือในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
วัตถุประสงค์
1). เพื่อเปิดโอกาสในการรับงบลงทุนให้กับผู้สนใจผลิตสื่อภาพยนตร์ประเภทซีรีย์ที่เกี่ยวกับ เชฟ และเมนูอาหาร โดยกำหนดผลิต เพื่อเผยแพร่ทางช่องทางต่างๆ เช่น NETFIX TRUE BAIDOO เว็บไซด์ของบริษัท wwwmerajconsultinggroupcom จำนวน ทั้งหมด 24 ตอน
2). เน้นการประกวดเพื่อรับผลงานที่นำเสนอ ตั้งแต่ การตั้งชื่อเรื่อง เค้าโครงเรื่อง ชื่อซีรีส์ ในแต่ละตอน โดยการเชิญผู้มีความสามารถในวงการอาหารและการพัฒนาวงการอาหาร เช่น สถาบันการสร้างชาติ ตัวแทนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงในการสอนอาหาร สถาบันอาหาร สมาคมเชฟแห่งประเทศไทย ตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจ ตัวแทนผู้ประกอบการผลิตสื่อภาพยนตร์ มาร่วมเป็นคณะกรรมการกำหนดรายละเอียดการดำเนินโครงการ ด้วยงบลงทุนจากบริษัท เมราจ คอนซัลติ้ง จำกัด

2.9 สร้างสถาบันสรรค์สร้างปัญญา

สถาบันสรรค์สร้างปัญญา (สสป.) เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้น โดยบริษัท ฤทธิรณ789คอร์ป จำกัด ภายใต้ผลการทดลองปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม สร้างเครือข่ายไทยมีดี (EAPLP: THAIMEEDEE.NET) เป็นผลจากการนำการวิจัยมาทดลองปฏิบัติการ ด้านกระบวนการเรียนรู้ และ สรรค์สร้างเป็นองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับนวัตกรรมการเรียนรู้ทางสังคม จนนำไปสู่ออกแบบธุรกิจส่วนตัวและขยายผลเป็นธุรกิจทางการศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อมุ่งสู่การเป็นบริษัทมหาชนที่ทุกคนมีโอกาสร่วมเป็นเจ้าของผ่านศูนย์การเรียนรู้ 6 ระดับ และเปิดให้บริการใน ปี พ.ศ.2568 คือ
1.ศูนย์เรียนรู้ระดับบุคคล (Level 1: Business Learning Case) เพื่อจัดกระบวนการสรรค์สร้างปัญญา ด้านการส่งออก นำเข้า กระจายสินค้า และเพิ่มมูลค่าในสินค้ากลุ่มเกษตร เกษตรแปรรูป หัตถกรรมและพลังงาน
2. ศูนย์เรียนรู้ระดับหลักสูตร(Level 2: Business Learning Course) เพื่อจัดกระบวนการสรรค์สร้างปัญญา เช่น ด้านการบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการโรงแรม ด้านการดูแลผู้สูงอายุ
3. ศูนย์เรียนรู้ระดับชั้นเรียน (Level 3: Business Learning Class) เพื่อจัดกระบวนการสรรค์สร้างปัญญา เช่น ธุรกิจดอกไม้แบบครบวงจร ธุรกิจอาหาร
4. ศูนย์เรียนรู้ระดับค่าย (Level 4: Business Learning Camp) เพื่อจัดกระบวนการสรรค์สร้างปัญญา นำหลักธรรมะมาเป็นแนวทางการจัดค่ายการเรียนรู้ที่เสริมสร้างศักยภาพให้เกิดความเข้าใจ ตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น ค่ายเรียนรู้ การเพิ่มพลังกล้วยไม้ไอยเรศ ค่ายเรียนรู้การเพิ่มพลังผักไชยา
5. ศูนย์เรียนรู้ระดับความร่วมมือ(Level 5: Business Learning Corporate) เพื่อจัดกระบวนการสรรค์สร้างปัญญาในการร่วมมือกันทำธุรกิจพัฒนาที่ดิน เช่น การพัฒนาเมืองเกษตรอัจฉริยะ
6. ศูนย์เรียนรู้ระดับชุมชน (Level 6: Business Learning Community) เพื่อจัดกระบวนการสรรค์สร้างปัญญาในการนำ กฎ เกณฑ์ กติกา มาสู่การออกแบบกระบวนการ กิจกรรม และ วัตรปฏิบัติที่สร้างสรรค์ ทำเป็นประจำ ด้วยหลักอิทธิบาท สี่ เช่น ชุมชนเกษตรกรรมใหม่ ชุมชนผู้ปลูกพืชเพื่อการส่งออก ชมรมผู้ปลูกกุหลาบมอญ
การสร้างองค์ความรู้ เป็นนวัตกรรมที่สร้างความสามารถทางการแข่งขันทางธุรกิจของประเทศไทยจะมีค่าเมื่อสามารถนำสู่การปฏิบัติได้จริง การรวมกลุ่ม สร้างกองทุน มาดำเนินกิจกรรม ด้วยกติกาที่ทำได้จริงจึงมีความสำคัญมาก
2 1
แนวคิดที่สำคัญในการจัดตั้งสถาบันสรรค์สร้างปัญญา
ศรัทธา และเชื่อมั่นในความดีงามของมนุษยชาติ และต้องการดำเนินชีวิต เพื่อก้าวข้ามวัฏฏสงสารตามแนวทางของพระพุทธศาสนา
 ศรัทธา และเชื่อมั่นในแนวคิดทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และ การทรงงานตามรอยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ์ฯ
ศรัทธา และเชื่อมั่น ในการดำเนินชีวิต ด้วยการหาคำตอบจากองค์ความรู้และการปฏิบัติจริงในวิถีชีวิตประจำวัน
 ต้องการนำแนวคิดมาปฏิบัติจริงโดยการสร้างองค์กรทางธุรกิจในรูปแบบบริษัทมหาชน ที่สนับสนุนกระบวนการจัดการเรียนรู้ ที่เป็นการศึกษาทางเลือก ให้คนทั่วไปได้มีโอกาสเข้าสู่การตัดสินใจเลือกทางเดินของชีวิต ได้อย่างมีคุณภาพ และมีความสุข มีโอกาสพัฒนาทักษะ ความรู้ และทรัพยากรให้มีศักยภาพ ผ่านศูนย์การเรียนรู้ระดับต่าง ๆ
 ศรัทธา และเชื่อมั่น ในการดำเนินธุรกิจตามวิถีพุทธเศรษฐศาสตร์
 ศรัทธา และเชื่อมั่น ในองค์ความรู้ทั้งทางตะวันตก และตะวันออก เพื่อนำมาผสมผสาน ในการสร้างองค์ความรู้ที่มีศักยภาพ นำทักษะ ความรู้ และทรัพยากร มาสรรค์สร้างปัญญา เพื่อแก้ปัญหา ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

2.10 สร้างชุมชนเกษตรกรรมใหม่@Paradize Thailand

ความสำคัญ
โครงการอุตสาหกรรมสร้างครัวโลก มีความสำคัญจะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจากผลผลิตจำนวนมาก ที่มีกระบวนการปลูก เก็บ รวบรวม จัดส่ง ที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ และต้องมีความพร้อมทั้งทักษะ ความรู้และทรัพยากรที่สามารถนำมาต่อยอดได้ การสร้างชุมขนเกษตรกรรมใหม่ ๑แอท พาราไดส์ ไทยแลนด์ จะเริ่มดำเนินการที่ จังหวัดนครนายก ด้วยการเสนอขายที่ดินแปลงใหญ่ 756 ไร่ 1 งาน 57 ตรว. เพื่อนำมาพัฒนาให้คุ้มค่ามากที่สุด โดยศักยภาพที่ดิน เหมาะกับการนำมาเป็นต้นแบบโครงการพัฒนาที่ดินเพื่ออุตสาหกรรมสร้างครัวโลก ในการสร้างชุมชนเกษตรกรรมใหม่ เหมือนกับสวรรค์ของประเภทประเภทไทย ที่เป็นต้นแบบชุมชนเกษตรกรรมใหม่ที่สามารถปฏิบัติได้จริง ภายใต้เงื่อนไขที่มีแนวคิด ทฤษฎี ที่ผ่านการทดลองภายใต้อนุสิทธิบัตร รูปแบบการเพิ่มพลังด้วยทักษะ ความรู้และทรัพยากร อันเป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ที่สร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทีมีรูปแบบการสร้างชุมชนเกษตรกรรมใหม่ ที่สามารถนำความรู้สู่การปฏิบัติจริง และสามารถเริ่มปฏิบัติงานทางธุรกิจได้จริง
2 1
วัตถุประสงค์
1. เพื่อสร้างต้นแบบชุมชนเกษตรกรรมใหม่ บนที่ดินแปลงที่มีศักยภาพในการลงทุนสร้างมูลค่าทางธุรกิจเป็นต้นแบบชุมชนเกษตรกรรมใหม่ ที่ต้องการนำความรู้สู่การปฏิบัติจริง ในการรวมพลังสร้างแหล่งอาหาร
2. เพื่อนำเงินลงทุน มาพัฒนาที่ดินให้คุ้มค่า ด้วยการสร้างชุมชนเกษตรกรรมใหม่ และมอบที่ดินให้ก่อสร้างมหาวิทยาลัย และโรงเรียนสาธิต เพื่อการสร้างชาติ
2 1

2.11 พัฒนาเมืองอัจฉริยะทางการเกษตร Agro Smart City

2 1
2 1

2.12 สนับสนุนชุมชนเกษตรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พืชผลการเกษตรจากแปลงสู่ ผลิตผลที่มีคุณภาพมาตรฐาน

ความสำคัญ
ดอกไม้ เป็น พืชผลการเกษตรที่สามารถพัฒนารายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกได้อย่างดี หากมีการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะพื้นที่ที่ถูกปล่อยร้าง และมีสภาพอากาศเหมาะสมกับการปลูกพืชผลการเกษตร ประเภทดอกไม้ที่น่าสนใจ มีสองชนิด สามารถพัฒนาให้เต็มศักยภาพ คือ
1). ดอกกุหลาบมอญ สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกเพื่อส่งขาย หรือ แปรรูปเอง เป็น ชากุหลาบ สบู่กุหลาบ น้ำหอม น้ำปรุงกลิ่นกุหลาบ จนกระทั่งเกษตรกรผู้ปลูกกุหลาบ มีความรัก ทักษะ การปลูกและพัฒนาต้นกุหลาบจำหน่าย และพัฒนาสู่กุหลาบสายพันธ์อื่น ๆ และ
2). ดอกไม้อีกประเภทหนึ่ง คือ กล้วยไม้ไอยเรศ ที่สามารถพัฒนาให้สถานที่มีความน่าสนใจ สามารถนำต้นพันธ์ กล้วยไม้ ไอยเรศ ประดับบนต้นไม้ใหญ่ ให้เต็มพื้นที่ เพื่อเป็นพื้นที่จัดค่ายเรียนรู้ “ไอยเรศ เลิร์นนิ่ง แคมป์” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดผู้สูงอายุต่างประเทศ เช่น ชาวญี่ปุ่น ที่ต้องการกิจกรรมการเรียนรู้ และสร้างผู้สนใจการปลูกกล้วยไม้ไอยเรศ ให้มารวมกลุ่ม ร่วมพัฒนาการปลูก การประกวดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม จนถึง เป้าหมาย การส่งดอกกล้วยไม้ไอยเรศ สู่การประกวดในตลาดการค้าดอกไม้สากล และพัฒนาสู่ดอกกล้วยไม้ ชนิดอื่น ๆ และสร้างต้นแบบแผนพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตพืชแต่ละชนิดให้มีผลผลิตที่มีคุณภาพมาตรฐาน สามารถสร้างเครือข่ายที่สนใจการเพาะปลูกชนิดเดียวกัน จนเป็นชุมชนที่เรียนรู้ร่วมกัน พร้อมเติบโตในทักษะ ความรู้เป็นเครือข่ายสร้างทรัพยากรที่มีศักยภาพ การเริ่มต้นโครงการด้วยดอกไม้ เป็นการนำร่องต้นแบบเพื่อให้สามารถพัฒนากระบวนการเรียนรู้ สร้างแผนเพิ่มพลัง และคู่มือปฏิบัติการ บนพื้นที่ที่มีศักยภาพ ไม่ควรถูกปล่อยทิ้งร้าง และสร้างประโยชน์สูงสุดให้เกิดขึ้นกับงบที่ลงทุน เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้ร่วมสร้างผลผลิตที่เพิ่มมูลค่า ได้อย่างครบวงจร
สภาพปัจจุบันและความจำเป็นที่ต้องมีโครงการนี้
สภาพปัจจุบันสินค้าเกษตรประเภทดอกไม้ ได้รับความสนใจในการนำผลผลิตเข้าสู่ระบบธุรกิจ มีความต้องการผลผลิตเพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ทั้งแบบสด และแปรรูป การสร้างพื้นที่ทำงาน
ต้นแบบเพื่อลงทุน สนับสนุนชุมชนเกษตรให้สามารถสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพจึงมีความจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนให้ชุมชนเกษตรกรรมใหม่ สามารถสร้างรายได้อย่างมีความสุข โครงการนี้จึงมีความสำคัญ จำเป็นที่จะต้องจัดให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างต้นแบบสถานที่ทำงานและเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อให้เกิดธุรกิจประเภทนี้
2 1
วัตถุประสงค์
1. จัดงบลงทุนให้เจ้าของพื้นที่เดิม ที่มีปัญหาในการใช้ประโยชน์ที่ดิน ได้มีโอกาสนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มาพัฒนาเป็นพื้นที่ร่วมทำงานเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตดอกไม้ครบวงจร สร้างรายได้ให้เกษตรกร เป็นศูนย์เรียนรู้ และพื้นที่ร่วมทำงานขับเคลื่อนพลังให้เกิดทักษะในการทำธุรกิจเกี่ยวกับดอกไม้ และสามารถเริ่มส่งใช้เงินทุนจากยอดงบลงทุน 753,250,000 บาท ในปีที่ 3 พร้อมมอบพื้นที่เพื่อสาธารณชน ร่วมเป็นเจ้าของต่อไป
2. ทดลองต้นแบบการสร้างพื้นที่ทำงานสนับสนุนชุมชนเกษตรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตดอกไม้ครบวงจรเพื่อการส่งออก และการต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าทั้งการแปรรูป และการนำผลิตภัณฑ์ เข้าสู่ตลาดเฉพาะกลุ่ม โดยสามารถสร้างแผนเพิ่มพลังธุรกิจ และคู่มือปฏิบัติงานขยายผลสู่ผลิตภัณฑ์อื่น
3. นำร่องกลุ่มที่มีความพร้อมตั้งชุมชนเกษตรกรรมใหม่ในธุรกิจปลูกกุหลาบมอญ และชุมชนเกษตรกรรมใหม่ในธุรกิจปลูกกล้วยไม้ไอยเรศ เป็นต้นแบบองค์กรแห่งการเรียนรู้ นำแผนเพิ่มพลังธุรกิจและคู่มือปฏิบัติการสร้างเครือข่ายเพิ่มพลังธุรกิจสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ด้วยงบลงทุนจากบริษัท เมราจ คอนซัลติ้ง จำกัด สนับสนุน 31 จังหวัด ๆ ละ 500,000,000 บาท สำหรับ 2 ผลิตภัณฑ์ 2 1

3 ศูนย์สุขภาพผู้สูงอายุ

สร้างศูนย์สุขภาพผู้สูงอายุเมืองหลักและเมืองรองพัฒนาศูนย์บ้านพักผู้สูงอายุสำหรับผู้สูงอายุนานาชาติ

หลักการและเหตุผลของโครงการ
การสูงวัยของประชากรเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญของโลก ในต้นศตวรรษที่ 21 โลกของเราได้เปลี่ยนจากสังคมเยาว์วัยมาเป็นสังคมผู้สูงอายุสังเกตได้จากอัตราส่วนร้อยละของประชากรที่มีอายุเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเป็นสังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 10 ของ ประชากรทั้งหมด ในปัจจุบันทวีปเอเชียมีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลกคือ 586 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ของ ประชากรทั้งทวีปในจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมดในเอเชีย ประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก คือประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีจำนวนผู้สูงอายุมากถึง 241 ล้านคน โดยมีผู้สูงอายุวัยปลายมากที่สุดเช่นเดียวกัน คือมีมากถึง 26 ล้านคนและประเทศญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสังคมคนชรามีสัดส่วนจำนวนประชากรสูงอายุต่อประชากรทั้งหมดในประเทศมากที่สุดในโลก รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่งประกาศจำนวนประชากรอายุมากกว่า 65 ปีประจำปีนี้ว่าทะลุ 36.17 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วมากกว่า 300,000 คน ประชากรผู้สูงอายุคิดเป็น 28.7% ของประชากรทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีผู้สูงอายุในภูมิภาคอื่น ๆ อย่างเอเชียตะวันออกกลางและเอเซียใต้อีกจำนวนมาก โครงการดูแลผู้สูงอายุพำนักพักอาศัยระยะยาวจึงนับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นกับภาวการณ์และในสังคมปัจจุบัน
วัตถุประสงค์ของโครงการ
1. เพื่อรองรับผู้สูงอายุนานาชาติที่มีความต้องการเข้าพักอาศัยในประเทศไทย
2. เพื่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นในบริเวณพื้นที่โครงการประเทศไทยและก่อให้เกิดการขยายตัวต่อเศรษฐกิจโดยรอบ
2 1
คุณสมบัติของผู้สูงอายุนานชาติที่จะเข้ามาพักในประเทศไทย
1. เพศ ชาย-หญิง อายุ 55 ปีขึ้นไป
2. ไม่มีประวัติที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ทั้งต่อประเทศไทยและประเทศที่ตนมีสัญชาติหรือประเทศที่ตนมีถิ่นพำนักถาวร
3. ไม่เป็นโรคต้องห้ามตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2535) ได้แก่ โรคเรื้อน วัณโรคในระยะอันตราย โรคเท้าช้าง โรคยาเสพติดให้โทษ โรคซิฟิลิส ระยะที่ 3
4. มีกรมธรรม์ประกันสุขภาพของไทยคุ้มครองตลอดระยะเวลาที่พำนักในราชอาณาจักร โดยมีจำนวนเงินประกันภัยสำหรับค่ารักษาพยาบาล กรณีผู้ป่วยนอกไม่น้อยกว่า 40,000 บาท และกรณีผู้ป่วยในไม่น้อยกว่า 400,000 บาท
5. มีเงินฝากประจำในธนาคารไทยที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท หรือ
6. มีเงินฝากประจำในธนาคารไทยที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 1.8 ล้านบาทและมีรายได้ประจำต่อปีไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านบาท โดยภายใน 1 ปี จะต้องมีเงินฝากประจำในธนาคารไทยที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท

4 พัฒนาและบริหารจัดการที่พักและผลิตแหล่งน้ำประปาส่งขายเพื่อการพาณิชย์

พัฒนาและบริหารจัดการที่พักอาศัยสำหรับบุคคลทั่วไปรวมถึงผู้สูงอายุนานาชาติ ร่วมด้วยการผลิตน้ำประปาเพื่อการพาณิชย์สำหรับพื้นที่เขตท่องเที่ยว

1.หลักการและเหตุผลของโครงการ
ประเทศไทยนับเป็นแลนด์มาร์คสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองพัทยาซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกและเป็นที่รู้จักมายาวนานมีความต้องการที่พักหรือที่อยู่อาศัยในระยะยาวจำนวนมากมาย โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพื้นที่นี้รวมถึงการผลิตน้ำประปาซึ่งเป็นปัจจัยสิ่งจำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยวและคนพื้นที่ที่เพิ่มปริมาณมากขึ้นด้วย
นอกจากการรองรับนักท่องเที่ยวและบุคคลทั่วไปแล้วโครงการยังถูกออกแบบมาเพื่อการรองรับผู้สูงอายุที่ต้องการเข้าพักอาศัยระยะยาวในประเทศไทยด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยการสูงวัยของประชากรเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญของโลก โครงการดูแลผู้สูงอายุพำนักพักอาศัยระยะยาวจึงนับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นกับภาวการณ์และในสังคมปัจจุบันเช่นกัน
2.วัตถุประสงค์ของโครงการ
1. เพื่อรองรับบุคคลทั่วไป นักท่องเที่ยว และผู้สูงอายุนานาชาติที่มีความต้องการเข้าพักอาศัยในประเทศไทย
2. เพื่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นในบริเวณพื้นที่โครงการประเทศไทยและก่อให้เกิดการขยายตัวต่อเศรษฐกิจโดยรอบ
3. สร้างสาธารณูปโภคผลิตแหล่งน้ำประปาให้พอเพียงต่อความต้องการของพื้นที่
3.กลุ่มเป้าหมาย
1. ผู้สูงอายุนานาชาติ
2. นักท่องเที่ยว
3. บุคคลทั่วไปที่มีความต้องการพักอาศัยในระยะยาวสำหรับบ้านพักและคอนโดมิเนียม
4.องค์ประกอบโครงการ
1. บ้านพักอาศัยสำหรับบุคคลทั่วไปหรือผู้สูงอายุจำนวน 400 ยูนิต
2. คอนโดมิเนียม 600 ยูนิต จำนวน 6 อาคาร
3. โรงแรมหรู 200 ห้องสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวจำวน 3 อาคาร
4. โรงผลิตน้ำประปาจากแหล่งน้ำเสีย/น้ำบาดาลกำลังการผลิต 10,000 ลบ.ม. ต่อวันพร้อมท่อส่ง
2 1
สถานที่ตั้งโครงการ : อำเภอสัตหีบ จังหวัด ชลบุรี

5 ปลูกป่าเศรษฐกิจ เพื่อเครดิตคาร์บอน

โครงการปลูกป่า ปลูกต้นไม้ขายคาร์บอนเครดิต สร้างงานสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ให้เกษตรกรและประชาชน

ความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
ภูมิทัศน์ป่าไม้ไทย (Forest Landscape) คือระบบความสัมพันธ์ของความหลากหลายทางชีวภาพในนิเวศป่าเขตร้อนชื้นและความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชน
พื้นเมือง ชุมชนท้องถิ่นที่มีนิเวศ วัฒนธรรม(cultural ecology) ซึ่งไม่เพียงแต่ธำรงรักษาระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพของไทยให้สูงที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ชุมชนท้องถิ่นยังสรรค์สร้างพันธุกรรรมอาหาร สมุนไพร ระบบการผลิต การจัดการทรัพยากรที่ก่อเกิดคุณค่าทางนิเวศ เศรษฐกิจ สังคมแก่สาธารณะอย่างมากมายจนเมื่อสถานะของป่าไม้ในระดับโลกได้กลายเป็นทรัพย์สินรูปแบบใหม่ในบริบทปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เริ่มจากการพัฒนาจากแนวคิดการชดเชยคาร์บอน (Carbon offset) ด้วยการเอาธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ มาเป็นเครื่องมือแก้ปัญหา (Natural Based Solution) ดูดก๊าซคาร์บอน เป็นตัวช่วยให้แก่อุตสาหกรรมใหญ่ๆ เช่น พลังงาน การเกษตร ที่ไม่ต้องการลดก๊าซเรือนกระจกกระบวนการผลิตของตนเองอย่างเต็มที่ แต่สามารถใช้การลงทุนปลูกป่าซึ่งมีต้นทุนต่ำมาทำหน้าที่ดูดคาร์บอนแทน และได้พัฒนามาเป็นการค้าขายสิทธิในการปล่อยคาร์บอน หรือ “คาร์บอนเครดิต”
คาร์บอนเครดิตก็ได้กลายเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นในระบบตลาดคาร์บอน และได้เปลี่ยนเป้าหมายจากเดิมที่ต้องการดึงประเทศพัฒนาแล้วและภาคเอกชน
มาสนับสนุน สร้างแรงจูงใจให้ผู้สร้างมลภาวะได้ลดหรือเลิกกิจกรรมที่ทำให้เกิดโลกร้อน แต่ได้กลายเป็นผลประโยชน์แบบใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรับผิดชอบต่อธรรมชาติและสังคม คาร์บอนเครดิตได้กลายเป็น “เงินตรา” แบบใหม่ การเพิ่มพื้นที่ป่าของรัฐ การปลูกป่าของเอกชนไม่ได้เป็นแค่ CSR แต่เป็นการลงทุนเพื่อให้ได้กำไรจากคาร์บอนเครดิต และช่วยค้ำยันให้อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนยังดำเนินและเติบโตต่อไปได้ ด้วยการอ้างบรรลุเป้าหมาย “คาร์บอนเป็นกลาง” (หักลบระหว่างการปล่อยคาร์บอนกับการลดหรือดูดคาร์บอน)
2 1
รัฐไทยได้รับเอาแนวคิดตลาดคาร์บอน และคาร์บอนเครดิตมาเป็นแนวนโยบาย เริ่มจากการจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ในปี 2550 เพื่อ
พัฒนาตลาดคาร์บอน (ไม่เกี่ยวกับอุดมการณ์การปกป้องโลก รักษาธรรมชาติ แต่เป็นการจัดการธุรกิจคาร์บอน) และเริ่มกลไกซื้อขายคาร์บอนเครดิตด้วย โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ตามมาด้วยการพัฒนาโครงการจัดการป่าเพื่อคาร์บอนเครดิตที่เริ่มปรากฏชัดเจนเมื่อตัวแทนรัฐไทยได้ร่วมสนับสนุนโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเนื่องจากการทําลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่า (Reducing Emission from Deforestation and Forest Degradation: REDD และ REDD+)
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจจัดการป่าเพื่อคาร์บอนเครดิตต้องการขยายตัวรวดเร็ว โดยไม่ได้รอโครงการ REDD เมื่อรัฐบาลไทยได้จัดทำแผนการมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือน
กระจก (nationally determined contributions: NDC) โดยต้องการเพิ่มศักยภาพการดูดก๊าซคาร์บอนของป่าไม้จากเดิมที่ดูดได้ 90 ล้านตันคาร์บอนให้เพิ่มเป็น 120 ล้านตันคาร์บอนภายในปี 2580 เพื่อรองรับก๊าซคาร์บอนฯ ที่ปลดปล่อยจากภาคพลังงาน อุตสาหกรรม และการเกษตร ป่าไม้จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้บัญชีก๊าซเรือนกระจกของไทยสู่ความสมดุลบรรลุเป้าหมายคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์สุทธิ (Net ZERO) ในปี 2065 เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลไทยประกาศจะเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ถึงร้อยละ 50 ซึ่งต้องเพิ่มพื้นที่ป่าธรรมชาติอีก 11.29 ล้านไร่ และป่าเศรษฐกิจอีก 15.99 ล้านไร่ ในปี 2580 ด้วยเหตุนี้ หน่วยงานด้านป่าไม้ของรัฐ ได้แก่ กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรชายฝั่ง และกรมอุทยานแห่งชาติฯ จึงได้รับออกระเบียบเรื่องปลูกป่าและแบ่งปันผลประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต โดยกรมป่าไม้ดำเนินการทั้งในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อีก 4.5 ล้านไร่ โดยส่วนหนึ่งมีป่าชุมชนที่ขึ้นทะเบียนกว่า 11,000 แห่ง ที่ต้องเพิ่มพื้นที่ป่าอีก 3 แสนไร่ ส่วนกรมทรัพยากรชายฝั่งก็เร่งดำเนินการปลูกป่าชายเลน 3 ล้านไร่ รวมทั้งกรมอุทยานฯ ที่ต้องเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์อีก 1.28 ล้านไร่ โดยทั้งหมดนี้กำหนดให้เอกชนได้คาร์บอนเครดิตร้อยละ 90 ภาครัฐได้ร้อยละ 10 ส่วนชุมชนได้ค่าจ้างปลูกและดูแลป่า

"รัฐยังได้จัดทำโมเดลแผนพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ หมุนเวียนและสีเขียว (BCG Model) โดยมีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อดูดซับคาร์บอน 32 ล้านไร่ โดยให้ภาคเอกชนรายใหญ่เข้ามาลงทุนปลูกป่า ซึ่งก็ปรากฏภาคเอกชนที่ร่วมพัฒนาและขับเคลื่อนโมเดล BCG ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าล้วนเป็นกลุ่มทุนใหญ่ที่สร้างผลกระทบต่อโลกร้อนต่างประกาศจะลงทุนปลูกป่าเพื่อลดคาร์บอน นอกจากนี้รัฐบาลยังมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 5 ตุลาคม 2565 เปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนปลูกสวนป่าเพื่อคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ของรัฐได้"

หลักการและเหตุผลของโครงการ
ปัจจุบัน ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรป่าไม้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรทั่วโลกไม่เฉพาะ ประเทศไทย อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นหรือที่เรียกว่า สภาวะ
โลกร้อน มีสาเหตุจากปริมาณทรัพยากรป่าไม้ลดน้อยลงจากการ ลักลอบตัดไม้ทำลายป่า อีกทั้งปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงและจากโรงงานอุตสาหกรรม ต่างๆ ทำให้เกิดการสะสมห่อหุ้มผิวบรรยากาศของโลกไว้ ถ้าประชาชนทุกคนไม่ตื่นตัวเป็นผู้รู้แล้วช่วยกันเพิ่มปริมาณป่าไม้ พืชสีเขียวให้ห่อหุ้มโลกไว้ดังเช่นในอดีต โลกก็จะประสบภาวะเลวร้ายเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและความเปลี่ยนแปลงของ สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน บริษัท เมราจ คอนซัลติ้ง จำกัด จึงได้ดำเนินโครงการปลูกป่า ปลูกต้นไม้ขายคาร์บอนเครดิต สร้างงานสร้างรายได้อย่างยั่งยืนน้อมนำแนวพระราชดำริและปรัชญาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ประยุกต์ใช้ในงานด้าน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน และยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้เพื่อช่วยดูดกลืนความร้อน ลด ปริมาณก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์จากกิจกรรมของมนุษย์ ที่เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
2 1
วัตถุประสงค์ของโครงการ
3.1 เพื่อปลูกจิตสำนึกและสร้างทัศนคติของประชาชนได้เห็นความสำคัญของการปลูกต้นไม้ ปลูกป่า และตระหนักถึงความสำคัญของป่าไม้ชุมชน ปัญหาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและร่วมใจกันอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
3.2 เพื่อช่วยลดสภาวะโลกร้อนและสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืนสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรทั้งทางตรงและทางอ้อมจากผลผลิตทางการเกษตรและการขายคาร์บอนเครดิต

6 เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินทรัพย์ในที่ดินแปลงใหญ่

6.1 โครงการเพิ่มประสิทธิภาพยางพาราแบบครบวงจร โรงงานแปรรูปยางแท่ง STR 20

วัตถุประสงค์โครงการ
บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์สร้างโรงงานแปรรูปยางแท่ง STR 20 เพื่อส่งออกต่างประเทศและใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตล้อยาง จําหน่ายให้ผู้ประกอบกิจการยางในประเทศ เนื่องจากวัตถุดิบที่สําคัญที่ใช้ในการผลิตยางแท่ง ประกอบด้วย ยางก้อนถ้วย ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 90.04 ของต้นทุนผลิตรวมแรงงานร้อยละ 0.84 และค่าไฟฟ้าร้อยละ 0.51 จะเห็นได้ว่ายาง ก้อนถ้วยซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักมีสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิต โดยบริษัทฯได้เล็งเห็นว่าราคายางแท่ง STR 20 ใน ตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เห็นได้จากราคายางแท่งที่ขยับขึ้นจากราคา 47.44บาท ต่อกิโลกรัม เมื่อมกราคม 2563 เป็น 51.79 และ 57.71บาทต่อกิโลกรัมเมื่อ มิถุนายน2563 และ ธันวาคม2563 ตามลําดับ อ้างอิงจากความเคลื่อนไหวราคายางชนิดต่างๆ (Thailand rubber price) แหล่งข้อมูล: สมาคมน้ำยางข้นไทย ปีพ.ศ. 2564) ซึ่งจะมี ส่วนทําให้ต้นทุนในการผลิตถุงมือยางของบริษัทเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาขายยางก้อนถ้วยยังไม่สามารถขยับตามได้ใน สัดส่วนที่สูง(เห็นได้จากราคายางแท่งที่ขยับขึ้นจากราคา 40.21บาท ต่อกิโลกรัมเมื่อมกราคม 2563 เป็น 43.74และ 45.78บาทต่อกิโลกรัมเมื่อ มิถุนายน2563 และ ธันวาคม2563 ตามลําดับ อ้างอิงจากความเคลื่อนไหวราคายางชนิดต่างๆ (Thailand rubber price) แหล่งข้อมูล:สมาคมยางพาราไทย ปีพ.ศ. 2564) บริษัทฯ จึงต้องการลดในส่วนของต้นทุนการ ซื้อยางก้อนถ้วยเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน และวัตถุประสงค์ในการลงทุนโรงงานผลิตยางแท่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพ ในการทํากําไรเนื่องจากปัจจุบันยางแท่งเป็นที่ต้องการของตลาด และมีราคาที่สูงกว่ายางก้อนถ้วย (อุตสาหกรรมยางแท่ง ของไทยมีมูลค่าตลาดประมาณ 6.0 หมื่นล้านบาทในปี 2563 (รวมส่งออกและใช้ในประเทศ) โดยเน้นส่งออกในสัดส่วนสูง ถึง 82.8% ของปริมาณการจําหน่ายทั้งหมด และไทยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับสองของโลก รองจากอินโดนีเซีย ตลาด ส่งออกหลัก คือ จีน สัดส่วน 47.9% ของปริมาณส่งออกยางแท่งของไทย สหรัฐฯ (8.5%) และ เกาหลีใต้ (5.9%) สําหรับ ตลาดในประเทศ ความต้องการใช้เกือบทั้งหมดมาจากอุตสาหกรรมยางรถยนต์และคาดการณ์ว่า ยางแท่ง: ปริมาณ ส่งออกมีแนวโน้มเติบโต 1.5-2.5% ต่อปี ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยเฉพาะยานยนต์ ยางรถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ทั้งนี้ความกังวลด้านโรคระบาดและการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ที่กลายเป็นแนวทางการดําเนินชีวิตแบบใหม่ (New Normal) อาจทําให้ความต้องการรถยนต์ส่วน บุคคลเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับประมาณการของ IHS Markit ที่คาดว่ายอดจําหน่ายรถยนต์จะเติบโต 9.0% 4.2% และ 3.2% ในช่วงปี 2564-2566 ตามลําดับ
2 1

การสร้างโรงงานแปรรูปยางแท่ง STR 20 ดังกล่าว จะทําให้บริษัทฯ มีธุรกิจที่ครบวงจรและเป็น การเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน (Synergy)จากฐานธุรกิจเดิม คือยางก้อนถ้วยและเพิ่มศักยภาพในการทํากําไรนอกจากนี้ สามารถนําผลิตภัณฑ์ที่ได้ต่อยอดจากการผลิตยางแท่ง (By Product) คือยางแท่งผสม (STR Mixtures Rubber)ไป จําหน่าย ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าและรายได้ให้แก่บริษัทฯ อันจะส่งผลต่อฐานะและผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัทฯในอนาคต
ผลกระทบต่อการผลิตและความสามารถในการแข่งขัน
การสร้างโรงงานแปรรูปยางแท่ง STR 20 ดังกล่าว จะทําให้บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนการ ผลิตได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากบริษัทฯมีโรงงานผลิตยางแท่ง STR 20เป็นของตนเอง ทําให้บริษัทฯควบคุมปริมาณ คุณภาพ และต้นทุนวัตถุดิบได้ ซึ่งจะทําให้บริษัทฯมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และการลงทุนโรงงานผลิตยางแท่ง STR 20 ดังกล่าว ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดการผลิต ซึ่งจะทําให้บริษัทฯ มีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ตารางแสดงปริมาณยางแท่ง STR 20ที่ผลิตของบริษัทเชียงรายเครปรับเบอร์ จํากัด

6.2 โครงการเชียงของไดรพอร์ต พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ : ฮับโลจิสติกส์และฮาลาลระดับโลก

บทสรุปโครงการ
โครงการเชียงของไดรพอร์ต เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มุ่งเน้นการสร้างฮับโลจิสติกส์และศูนย์กลางการผลิตสินค้าฮาลาลระดับโลก ด้วยการลงทุนจากนักลงทุนจีนกว่า 50,000 โรงงาน พร้อมกับเชื่อมโยงเส้นทางสายไหมและเส้นทางเศรษฐกิจสำคัญสู่ตลาดโลก โครงการนี้ได้รับการออกแบบให้ครอบคลุมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดตั้งโรงงาน การตลาดระดับโลก และการสร้างเครือข่ายธุรกิจฮาลาล โดยใช้งบประมาณการลงทุนรวม 88,400 ล้านบาท
รายละเอียดโครงการ
1. วัตถุประสงค์การลงทุน
1.1 พัฒนาเชียงของให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าระดับโลก
1.2 สร้างความเชื่อมั่นในตลาดฮาลาลด้วยมาตรฐานสากล
1.3 กระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นผ่านการลงทุนและการจ้างงาน
1.4 สนับสนุนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยและจีนในการเชื่อมโยงเส้นทางเศรษฐกิจ
2. เป้าหมายโครงการ
2.1 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบนพื้นที่ 18,000 ไร่
2.2 การดึงดูดนักลงทุนจากจีนและต่างประเทศ
2.3 การสร้างงานให้กับแรงงานไทยในพื้นที่กว่า 50,000 ตำแหน่ง
2.4 การส่งออกสินค้าฮาลาลสู่ตลาดโลก
3. ขอบเขตการดำเนินงาน
3.1 พัฒนาพื้นที่ใน 7 ตำบล ของอำเภอเชียงของ (ครอบคลุม 783.20 ตารางกิโลเมตร หรือ 489,500 ไร่)
3.2 สร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบไฟฟ้า น้ำประปา และระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย
3.3 จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสำหรับโรงงานผลิตสินค้า
3.4 ตั้งสำนักงานการตลาดในซาอุดิอาระเบียและดูไบ
2 1
ผลประโยชน์ที่คาดหวัง
1. เศรษฐกิจ: กระตุ้น GDP ของจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือตอนบน
2. สังคม: สร้างงานให้แรงงานในท้องถิ่นกว่า 50,000 ตำแหน่ง
3. สิ่งแวดล้อม: พัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนด้วยมาตรฐานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
4. ตลาดโลก: เสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดฮาลาล
แนวทางการดำเนินงาน
1. ประสานงานกับรัฐบาลไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อการลงทุนและความร่วมมือ
2. ใช้สิทธิพิเศษจาก BOI เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี
3. ส่งเสริมการตลาดระดับโลกผ่านสำนักงานในซาอุดิอาระเบียและดูไบ
เอกสารนี้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อขอพิจารณาสินเชื่อ โดยรับรองถึงความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ที่ชัดเจนจากการลงทุนในโครงการ เชียงของไดรพอร์ต

6.3 สร้างสินทรัพย์บนดิน (แปลงใหญ่วัวไทย)

หลักการและเหตุผล
ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีพื้นที่ที่มีความเหมาะสมต่อการเลี้ยง "โคเนื้อ" อีกทั้งรัฐบาลมีนโยบาย ผลักดัน “โคเนื้อไทย” เป็นสินค้าอุตสาหกรรมระดับพรีเมี่ยม ด้วยการแปรรูปพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน รูปแบบ และบรรจุภัณฑ์ของสินค้า โดยภูมิภาคที่มีการเลี้ยงโคเนื้อมากที่สุด คือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 46.85 รองลงมาคือภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ร้อยละ 20.32 17.67 และ 15.16 ตามลำดับ ซึ่ง จังหวัดที่เลี้ยงโคเนื้อมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ นครราชสีมา สุรินทร์ กาญจนบุรี ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด สกลนคร และนครศรีธรรมราช
และด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่เกิดจากภาวะโลกร้อนในขณะนี้ เริ่มส่งผลกระทบรุนแรงต่อผลผลิตอาหารทั่วโลก สำหรับประเทศไทย นักวิทยาศาสตร์ด้านการเกษตรพบว่าความแปรปรวนของ ภูมิอากาศจะมีผลกระทบรุนแรงต่อพืชผลการเกษตรที่สำคัญหลายชนิด โดยเฉพาะ ข้าว ข้าวโพด อ้อย และยังมีผลกระทบต่อผลผลิตการเกษตรหลายช่องทางเช่น ภาวะน้ำท่วม ภาวะฝนแล้ง อุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอุณหภูมิตอนกลางคืนในช่วงที่ข้าวกำลังออกดอก จะกระทบกระบวนการสังเคราะห์แสงของข้าว ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงเป็นต้น การเลี้ยงโคเพื่อเศรษฐกิจและปากท้องพี่น้องชาวเกษตรกรจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและทำได้ง่ายกว่าในภาวะปัจจุบัน ในการขับเคลื่อนโครงการฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม มุ่งหวังให้เกษตรผู้เลี้ยงสัตว์ ได้รับประโยชน์โดยตรง สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกร ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มุ่งหวังให้โครงการแปลงใหญ่โคไทยเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม มีแหล่งทุนหมุนเวียนสำหรับการกู้ยืมเพื่อการลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้ บรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ที่เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และสถานการณ์อุทกภัย เสริมสภาพคล่องให้กับเกษตรกร ผ่านการสนับสนุนการทำปศุสัตว์ คือ การเลี้ยงโคนั่นเอง การเลี้ยงโคนั้นเลี้ยงไม่ยาก สามารถคืนทุนได้เร็ว พี่น้องเกษตรกรมีโอกาสจับเงินหลักแสน หลักล้านได้ง่าย สามารถปลดหนี้ และยังมีเงินเพิ่มขึ้นในครัวเรือน โครงการนี้จะช่วยให้ประชาชนที่อยู่ในระดับฐานราก โดยเฉพาะภาคการเกษตรมีความเข้มแข็ง หลุดพ้นจากความยากจน เป็นโอกาสที่จะมีรายได้เสริมและสามารถพัฒนาเป็นอาชีพหลักในอนาคตได้
วัตถุประสงค์
3.1 เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ และสร้างอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อ อย่างยั่งยืนให้เกษตรกรในชุมชน
3.2 เพื่อลดต้นทุนด้านอาหารสัตว์
3.3 เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตโคเนื้อของกลุ่มเกษตรกรจากการเลี้ยงโคขุน
3.4 เพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาโคเนื้อทั้งระบบในชุมชน
2 1
เป้าหมาย
โครงการ “แปลงใหญ่โคไทย”
เกษตรกร 30 ราย ต่อ กลุ่ม
แม่โคพื้นเมือง 300 ตัว ต่อ กลุ่ม
โคขุน 200 ตัว/รอบการผลิต ต่อ กลุ่ม
แผนบริหารจัดการและใช้ประโยชน์หลังจากสิ้นสุดโครงการ
กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อแปลงใหญ่พัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อเชื่อมโยงทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ (ตลาดผลิตภัณฑ์เนื้อโค)
ซึ่งมูลค่าเพิ่มจากการขุนโคคอกกลางในระดับกลางน้ำจะถูกปันผลไปยัง เกษตรกรสมาชิกผู้เลี้ยงโคต้นน้ำ เกิดรายได้และเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในชุมชน ซึ่งนอกจากจะเป็นการ สร้าง อาชีพการเลี้ยงโคเนื้อที่มั่นคงแล้ว ยังสร้างอาชีพที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่การผลิตโคเนื้อ ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์ทรัพยากร ในชุมชนอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ผลผลิต (OUTPUT)
(1) มีผลผลิตลูกโคไทยทาจิ จำนวน 180 ตัว/ปี คิดเป็นมูลค่า 2,880,000 บาท
(2) มูลโคของแม่โคพื้นเมือง 330,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 495,000 บาท
(3) โคไทยทาจิขุน จำนวน 200 ตัว/รอบการผลิต (240 วัน) คิดเป็นมูลค่า 8,400,000 บาท
(4) มูลโคขุน 220,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 330,000 บาท
ผลลัพธ์ (OUTCOME)
(1) สร้างอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อที่ยั่งยืนแก่กลุ่มเกษตรกรเชื่อมโยงการพัฒนาระดับต้นน้ำ-กลางน้ำ- ปลายน้ำ สร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในหมู่บ้าน
(2) ลดต้นทุนค่าอาหารโคขุน
(3) สร้างรายได้แก่กลุ่มเกษตรกรปลูกพืชอาหารสัตว์จำหน่าย
(4) เพิ่มการจ้างงานในหมู่บ้าน สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจรากฐาน

7 ผลิตภาพยนตร์ เชิดชู วีรกรรมผู้กล้าในประวัติศาสตร์ไทย

อยู่ระหว่างศึกษาและดำเนินการ

8 เมราจ คอมเพล็กซ์

อยู่ระหว่างศึกษาและดำเนินการ