6 เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินทรัพย์ในที่ดินแปลงใหญ่
6.1 โครงการเพิ่มประสิทธิภาพยางพาราแบบครบวงจร โรงงานแปรรูปยางแท่ง STR 20
วัตถุประสงค์โครงการ
บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์สร้างโรงงานแปรรูปยางแท่ง STR 20 เพื่อส่งออกต่างประเทศและใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตล้อยาง จําหน่ายให้ผู้ประกอบกิจการยางในประเทศ เนื่องจากวัตถุดิบที่สําคัญที่ใช้ในการผลิตยางแท่ง ประกอบด้วย ยางก้อนถ้วย ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 90.04 ของต้นทุนผลิตรวมแรงงานร้อยละ 0.84 และค่าไฟฟ้าร้อยละ 0.51 จะเห็นได้ว่ายาง ก้อนถ้วยซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักมีสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิต โดยบริษัทฯได้เล็งเห็นว่าราคายางแท่ง STR 20 ใน ตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เห็นได้จากราคายางแท่งที่ขยับขึ้นจากราคา 47.44บาท ต่อกิโลกรัม เมื่อมกราคม 2563 เป็น 51.79 และ 57.71บาทต่อกิโลกรัมเมื่อ มิถุนายน2563 และ ธันวาคม2563 ตามลําดับ อ้างอิงจากความเคลื่อนไหวราคายางชนิดต่างๆ (Thailand rubber price) แหล่งข้อมูล: สมาคมน้ำยางข้นไทย ปีพ.ศ. 2564) ซึ่งจะมี ส่วนทําให้ต้นทุนในการผลิตถุงมือยางของบริษัทเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาขายยางก้อนถ้วยยังไม่สามารถขยับตามได้ใน สัดส่วนที่สูง(เห็นได้จากราคายางแท่งที่ขยับขึ้นจากราคา 40.21บาท ต่อกิโลกรัมเมื่อมกราคม 2563 เป็น 43.74และ 45.78บาทต่อกิโลกรัมเมื่อ มิถุนายน2563 และ ธันวาคม2563 ตามลําดับ อ้างอิงจากความเคลื่อนไหวราคายางชนิดต่างๆ (Thailand rubber price) แหล่งข้อมูล:สมาคมยางพาราไทย ปีพ.ศ. 2564) บริษัทฯ จึงต้องการลดในส่วนของต้นทุนการ ซื้อยางก้อนถ้วยเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน และวัตถุประสงค์ในการลงทุนโรงงานผลิตยางแท่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพ ในการทํากําไรเนื่องจากปัจจุบันยางแท่งเป็นที่ต้องการของตลาด และมีราคาที่สูงกว่ายางก้อนถ้วย (อุตสาหกรรมยางแท่ง ของไทยมีมูลค่าตลาดประมาณ 6.0 หมื่นล้านบาทในปี 2563 (รวมส่งออกและใช้ในประเทศ) โดยเน้นส่งออกในสัดส่วนสูง ถึง 82.8% ของปริมาณการจําหน่ายทั้งหมด และไทยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับสองของโลก รองจากอินโดนีเซีย ตลาด ส่งออกหลัก คือ จีน สัดส่วน 47.9% ของปริมาณส่งออกยางแท่งของไทย สหรัฐฯ (8.5%) และ เกาหลีใต้ (5.9%) สําหรับ ตลาดในประเทศ ความต้องการใช้เกือบทั้งหมดมาจากอุตสาหกรรมยางรถยนต์และคาดการณ์ว่า ยางแท่ง: ปริมาณ ส่งออกมีแนวโน้มเติบโต 1.5-2.5% ต่อปี ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยเฉพาะยานยนต์ ยางรถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ทั้งนี้ความกังวลด้านโรคระบาดและการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ที่กลายเป็นแนวทางการดําเนินชีวิตแบบใหม่ (New Normal) อาจทําให้ความต้องการรถยนต์ส่วน บุคคลเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับประมาณการของ IHS Markit ที่คาดว่ายอดจําหน่ายรถยนต์จะเติบโต 9.0% 4.2% และ 3.2% ในช่วงปี 2564-2566 ตามลําดับ
การสร้างโรงงานแปรรูปยางแท่ง STR 20 ดังกล่าว จะทําให้บริษัทฯ มีธุรกิจที่ครบวงจรและเป็น การเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน (Synergy)จากฐานธุรกิจเดิม คือยางก้อนถ้วยและเพิ่มศักยภาพในการทํากําไรนอกจากนี้ สามารถนําผลิตภัณฑ์ที่ได้ต่อยอดจากการผลิตยางแท่ง (By Product) คือยางแท่งผสม (STR Mixtures Rubber)ไป จําหน่าย ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าและรายได้ให้แก่บริษัทฯ อันจะส่งผลต่อฐานะและผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัทฯในอนาคต
ผลกระทบต่อการผลิตและความสามารถในการแข่งขัน
การสร้างโรงงานแปรรูปยางแท่ง STR 20 ดังกล่าว จะทําให้บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนการ ผลิตได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากบริษัทฯมีโรงงานผลิตยางแท่ง STR 20เป็นของตนเอง ทําให้บริษัทฯควบคุมปริมาณ คุณภาพ และต้นทุนวัตถุดิบได้ ซึ่งจะทําให้บริษัทฯมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และการลงทุนโรงงานผลิตยางแท่ง STR 20 ดังกล่าว ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดการผลิต ซึ่งจะทําให้บริษัทฯ มีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ตารางแสดงปริมาณยางแท่ง STR 20ที่ผลิตของบริษัทเชียงรายเครปรับเบอร์ จํากัด
บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์สร้างโรงงานแปรรูปยางแท่ง STR 20 เพื่อส่งออกต่างประเทศและใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตล้อยาง จําหน่ายให้ผู้ประกอบกิจการยางในประเทศ เนื่องจากวัตถุดิบที่สําคัญที่ใช้ในการผลิตยางแท่ง ประกอบด้วย ยางก้อนถ้วย ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 90.04 ของต้นทุนผลิตรวมแรงงานร้อยละ 0.84 และค่าไฟฟ้าร้อยละ 0.51 จะเห็นได้ว่ายาง ก้อนถ้วยซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักมีสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิต โดยบริษัทฯได้เล็งเห็นว่าราคายางแท่ง STR 20 ใน ตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เห็นได้จากราคายางแท่งที่ขยับขึ้นจากราคา 47.44บาท ต่อกิโลกรัม เมื่อมกราคม 2563 เป็น 51.79 และ 57.71บาทต่อกิโลกรัมเมื่อ มิถุนายน2563 และ ธันวาคม2563 ตามลําดับ อ้างอิงจากความเคลื่อนไหวราคายางชนิดต่างๆ (Thailand rubber price) แหล่งข้อมูล: สมาคมน้ำยางข้นไทย ปีพ.ศ. 2564) ซึ่งจะมี ส่วนทําให้ต้นทุนในการผลิตถุงมือยางของบริษัทเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาขายยางก้อนถ้วยยังไม่สามารถขยับตามได้ใน สัดส่วนที่สูง(เห็นได้จากราคายางแท่งที่ขยับขึ้นจากราคา 40.21บาท ต่อกิโลกรัมเมื่อมกราคม 2563 เป็น 43.74และ 45.78บาทต่อกิโลกรัมเมื่อ มิถุนายน2563 และ ธันวาคม2563 ตามลําดับ อ้างอิงจากความเคลื่อนไหวราคายางชนิดต่างๆ (Thailand rubber price) แหล่งข้อมูล:สมาคมยางพาราไทย ปีพ.ศ. 2564) บริษัทฯ จึงต้องการลดในส่วนของต้นทุนการ ซื้อยางก้อนถ้วยเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน และวัตถุประสงค์ในการลงทุนโรงงานผลิตยางแท่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพ ในการทํากําไรเนื่องจากปัจจุบันยางแท่งเป็นที่ต้องการของตลาด และมีราคาที่สูงกว่ายางก้อนถ้วย (อุตสาหกรรมยางแท่ง ของไทยมีมูลค่าตลาดประมาณ 6.0 หมื่นล้านบาทในปี 2563 (รวมส่งออกและใช้ในประเทศ) โดยเน้นส่งออกในสัดส่วนสูง ถึง 82.8% ของปริมาณการจําหน่ายทั้งหมด และไทยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับสองของโลก รองจากอินโดนีเซีย ตลาด ส่งออกหลัก คือ จีน สัดส่วน 47.9% ของปริมาณส่งออกยางแท่งของไทย สหรัฐฯ (8.5%) และ เกาหลีใต้ (5.9%) สําหรับ ตลาดในประเทศ ความต้องการใช้เกือบทั้งหมดมาจากอุตสาหกรรมยางรถยนต์และคาดการณ์ว่า ยางแท่ง: ปริมาณ ส่งออกมีแนวโน้มเติบโต 1.5-2.5% ต่อปี ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยเฉพาะยานยนต์ ยางรถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ทั้งนี้ความกังวลด้านโรคระบาดและการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ที่กลายเป็นแนวทางการดําเนินชีวิตแบบใหม่ (New Normal) อาจทําให้ความต้องการรถยนต์ส่วน บุคคลเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับประมาณการของ IHS Markit ที่คาดว่ายอดจําหน่ายรถยนต์จะเติบโต 9.0% 4.2% และ 3.2% ในช่วงปี 2564-2566 ตามลําดับ

การสร้างโรงงานแปรรูปยางแท่ง STR 20 ดังกล่าว จะทําให้บริษัทฯ มีธุรกิจที่ครบวงจรและเป็น การเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน (Synergy)จากฐานธุรกิจเดิม คือยางก้อนถ้วยและเพิ่มศักยภาพในการทํากําไรนอกจากนี้ สามารถนําผลิตภัณฑ์ที่ได้ต่อยอดจากการผลิตยางแท่ง (By Product) คือยางแท่งผสม (STR Mixtures Rubber)ไป จําหน่าย ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าและรายได้ให้แก่บริษัทฯ อันจะส่งผลต่อฐานะและผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัทฯในอนาคต
ผลกระทบต่อการผลิตและความสามารถในการแข่งขัน
การสร้างโรงงานแปรรูปยางแท่ง STR 20 ดังกล่าว จะทําให้บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนการ ผลิตได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากบริษัทฯมีโรงงานผลิตยางแท่ง STR 20เป็นของตนเอง ทําให้บริษัทฯควบคุมปริมาณ คุณภาพ และต้นทุนวัตถุดิบได้ ซึ่งจะทําให้บริษัทฯมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และการลงทุนโรงงานผลิตยางแท่ง STR 20 ดังกล่าว ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดการผลิต ซึ่งจะทําให้บริษัทฯ มีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ตารางแสดงปริมาณยางแท่ง STR 20ที่ผลิตของบริษัทเชียงรายเครปรับเบอร์ จํากัด
6.2 โครงการเชียงของไดรพอร์ต พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ : ฮับโลจิสติกส์และฮาลาลระดับโลก
บทสรุปโครงการ
โครงการเชียงของไดรพอร์ต เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มุ่งเน้นการสร้างฮับโลจิสติกส์และศูนย์กลางการผลิตสินค้าฮาลาลระดับโลก ด้วยการลงทุนจากนักลงทุนจีนกว่า 50,000 โรงงาน พร้อมกับเชื่อมโยงเส้นทางสายไหมและเส้นทางเศรษฐกิจสำคัญสู่ตลาดโลก โครงการนี้ได้รับการออกแบบให้ครอบคลุมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดตั้งโรงงาน การตลาดระดับโลก และการสร้างเครือข่ายธุรกิจฮาลาล โดยใช้งบประมาณการลงทุนรวม 88,400 ล้านบาท
รายละเอียดโครงการ
1. วัตถุประสงค์การลงทุน
1.1 พัฒนาเชียงของให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าระดับโลก
1.2 สร้างความเชื่อมั่นในตลาดฮาลาลด้วยมาตรฐานสากล
1.3 กระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นผ่านการลงทุนและการจ้างงาน
1.4 สนับสนุนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยและจีนในการเชื่อมโยงเส้นทางเศรษฐกิจ
2. เป้าหมายโครงการ
2.1 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบนพื้นที่ 18,000 ไร่
2.2 การดึงดูดนักลงทุนจากจีนและต่างประเทศ
2.3 การสร้างงานให้กับแรงงานไทยในพื้นที่กว่า 50,000 ตำแหน่ง
2.4 การส่งออกสินค้าฮาลาลสู่ตลาดโลก
3. ขอบเขตการดำเนินงาน
3.1 พัฒนาพื้นที่ใน 7 ตำบล ของอำเภอเชียงของ (ครอบคลุม 783.20 ตารางกิโลเมตร หรือ 489,500 ไร่)
3.2 สร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบไฟฟ้า น้ำประปา และระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย
3.3 จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสำหรับโรงงานผลิตสินค้า
3.4 ตั้งสำนักงานการตลาดในซาอุดิอาระเบียและดูไบ
ผลประโยชน์ที่คาดหวัง
1. เศรษฐกิจ: กระตุ้น GDP ของจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือตอนบน
2. สังคม: สร้างงานให้แรงงานในท้องถิ่นกว่า 50,000 ตำแหน่ง
3. สิ่งแวดล้อม: พัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนด้วยมาตรฐานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
4. ตลาดโลก: เสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดฮาลาล
แนวทางการดำเนินงาน
1. ประสานงานกับรัฐบาลไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อการลงทุนและความร่วมมือ
2. ใช้สิทธิพิเศษจาก BOI เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี
3. ส่งเสริมการตลาดระดับโลกผ่านสำนักงานในซาอุดิอาระเบียและดูไบ
เอกสารนี้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อขอพิจารณาสินเชื่อ โดยรับรองถึงความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ที่ชัดเจนจากการลงทุนในโครงการ เชียงของไดรพอร์ต
โครงการเชียงของไดรพอร์ต เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มุ่งเน้นการสร้างฮับโลจิสติกส์และศูนย์กลางการผลิตสินค้าฮาลาลระดับโลก ด้วยการลงทุนจากนักลงทุนจีนกว่า 50,000 โรงงาน พร้อมกับเชื่อมโยงเส้นทางสายไหมและเส้นทางเศรษฐกิจสำคัญสู่ตลาดโลก โครงการนี้ได้รับการออกแบบให้ครอบคลุมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดตั้งโรงงาน การตลาดระดับโลก และการสร้างเครือข่ายธุรกิจฮาลาล โดยใช้งบประมาณการลงทุนรวม 88,400 ล้านบาท
รายละเอียดโครงการ
1. วัตถุประสงค์การลงทุน
1.1 พัฒนาเชียงของให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าระดับโลก
1.2 สร้างความเชื่อมั่นในตลาดฮาลาลด้วยมาตรฐานสากล
1.3 กระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นผ่านการลงทุนและการจ้างงาน
1.4 สนับสนุนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยและจีนในการเชื่อมโยงเส้นทางเศรษฐกิจ
2. เป้าหมายโครงการ
2.1 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบนพื้นที่ 18,000 ไร่
2.2 การดึงดูดนักลงทุนจากจีนและต่างประเทศ
2.3 การสร้างงานให้กับแรงงานไทยในพื้นที่กว่า 50,000 ตำแหน่ง
2.4 การส่งออกสินค้าฮาลาลสู่ตลาดโลก
3. ขอบเขตการดำเนินงาน
3.1 พัฒนาพื้นที่ใน 7 ตำบล ของอำเภอเชียงของ (ครอบคลุม 783.20 ตารางกิโลเมตร หรือ 489,500 ไร่)
3.2 สร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบไฟฟ้า น้ำประปา และระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย
3.3 จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสำหรับโรงงานผลิตสินค้า
3.4 ตั้งสำนักงานการตลาดในซาอุดิอาระเบียและดูไบ

ผลประโยชน์ที่คาดหวัง
1. เศรษฐกิจ: กระตุ้น GDP ของจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือตอนบน
2. สังคม: สร้างงานให้แรงงานในท้องถิ่นกว่า 50,000 ตำแหน่ง
3. สิ่งแวดล้อม: พัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนด้วยมาตรฐานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
4. ตลาดโลก: เสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดฮาลาล
แนวทางการดำเนินงาน
1. ประสานงานกับรัฐบาลไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อการลงทุนและความร่วมมือ
2. ใช้สิทธิพิเศษจาก BOI เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี
3. ส่งเสริมการตลาดระดับโลกผ่านสำนักงานในซาอุดิอาระเบียและดูไบ
เอกสารนี้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อขอพิจารณาสินเชื่อ โดยรับรองถึงความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ที่ชัดเจนจากการลงทุนในโครงการ เชียงของไดรพอร์ต
6.3 สร้างสินทรัพย์บนดิน (แปลงใหญ่วัวไทย)
หลักการและเหตุผล
ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีพื้นที่ที่มีความเหมาะสมต่อการเลี้ยง "โคเนื้อ" อีกทั้งรัฐบาลมีนโยบาย ผลักดัน “โคเนื้อไทย” เป็นสินค้าอุตสาหกรรมระดับพรีเมี่ยม ด้วยการแปรรูปพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน รูปแบบ และบรรจุภัณฑ์ของสินค้า โดยภูมิภาคที่มีการเลี้ยงโคเนื้อมากที่สุด คือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 46.85 รองลงมาคือภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ร้อยละ 20.32 17.67 และ 15.16 ตามลำดับ ซึ่ง จังหวัดที่เลี้ยงโคเนื้อมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ นครราชสีมา สุรินทร์ กาญจนบุรี ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด สกลนคร และนครศรีธรรมราช
และด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่เกิดจากภาวะโลกร้อนในขณะนี้ เริ่มส่งผลกระทบรุนแรงต่อผลผลิตอาหารทั่วโลก สำหรับประเทศไทย นักวิทยาศาสตร์ด้านการเกษตรพบว่าความแปรปรวนของ ภูมิอากาศจะมีผลกระทบรุนแรงต่อพืชผลการเกษตรที่สำคัญหลายชนิด โดยเฉพาะ ข้าว ข้าวโพด อ้อย และยังมีผลกระทบต่อผลผลิตการเกษตรหลายช่องทางเช่น ภาวะน้ำท่วม ภาวะฝนแล้ง อุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอุณหภูมิตอนกลางคืนในช่วงที่ข้าวกำลังออกดอก จะกระทบกระบวนการสังเคราะห์แสงของข้าว ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงเป็นต้น การเลี้ยงโคเพื่อเศรษฐกิจและปากท้องพี่น้องชาวเกษตรกรจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและทำได้ง่ายกว่าในภาวะปัจจุบัน ในการขับเคลื่อนโครงการฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม มุ่งหวังให้เกษตรผู้เลี้ยงสัตว์ ได้รับประโยชน์โดยตรง สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกร ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มุ่งหวังให้โครงการแปลงใหญ่โคไทยเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม มีแหล่งทุนหมุนเวียนสำหรับการกู้ยืมเพื่อการลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้ บรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ที่เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และสถานการณ์อุทกภัย เสริมสภาพคล่องให้กับเกษตรกร ผ่านการสนับสนุนการทำปศุสัตว์ คือ การเลี้ยงโคนั่นเอง การเลี้ยงโคนั้นเลี้ยงไม่ยาก สามารถคืนทุนได้เร็ว พี่น้องเกษตรกรมีโอกาสจับเงินหลักแสน หลักล้านได้ง่าย สามารถปลดหนี้ และยังมีเงินเพิ่มขึ้นในครัวเรือน โครงการนี้จะช่วยให้ประชาชนที่อยู่ในระดับฐานราก โดยเฉพาะภาคการเกษตรมีความเข้มแข็ง หลุดพ้นจากความยากจน เป็นโอกาสที่จะมีรายได้เสริมและสามารถพัฒนาเป็นอาชีพหลักในอนาคตได้
วัตถุประสงค์
3.1 เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ และสร้างอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อ อย่างยั่งยืนให้เกษตรกรในชุมชน
3.2 เพื่อลดต้นทุนด้านอาหารสัตว์
3.3 เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตโคเนื้อของกลุ่มเกษตรกรจากการเลี้ยงโคขุน
3.4 เพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาโคเนื้อทั้งระบบในชุมชน
เป้าหมาย
โครงการ “แปลงใหญ่โคไทย”
เกษตรกร 30 ราย ต่อ กลุ่ม
แม่โคพื้นเมือง 300 ตัว ต่อ กลุ่ม
โคขุน 200 ตัว/รอบการผลิต ต่อ กลุ่ม
แผนบริหารจัดการและใช้ประโยชน์หลังจากสิ้นสุดโครงการ
กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อแปลงใหญ่พัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อเชื่อมโยงทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ (ตลาดผลิตภัณฑ์เนื้อโค)
ซึ่งมูลค่าเพิ่มจากการขุนโคคอกกลางในระดับกลางน้ำจะถูกปันผลไปยัง เกษตรกรสมาชิกผู้เลี้ยงโคต้นน้ำ เกิดรายได้และเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในชุมชน ซึ่งนอกจากจะเป็นการ สร้าง อาชีพการเลี้ยงโคเนื้อที่มั่นคงแล้ว ยังสร้างอาชีพที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่การผลิตโคเนื้อ ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์ทรัพยากร ในชุมชนอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ผลผลิต (OUTPUT)
(1) มีผลผลิตลูกโคไทยทาจิ จำนวน 180 ตัว/ปี คิดเป็นมูลค่า 2,880,000 บาท
(2) มูลโคของแม่โคพื้นเมือง 330,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 495,000 บาท
(3) โคไทยทาจิขุน จำนวน 200 ตัว/รอบการผลิต (240 วัน) คิดเป็นมูลค่า 8,400,000 บาท
(4) มูลโคขุน 220,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 330,000 บาท
ผลลัพธ์ (OUTCOME)
(1) สร้างอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อที่ยั่งยืนแก่กลุ่มเกษตรกรเชื่อมโยงการพัฒนาระดับต้นน้ำ-กลางน้ำ- ปลายน้ำ สร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในหมู่บ้าน
(2) ลดต้นทุนค่าอาหารโคขุน
(3) สร้างรายได้แก่กลุ่มเกษตรกรปลูกพืชอาหารสัตว์จำหน่าย
(4) เพิ่มการจ้างงานในหมู่บ้าน สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจรากฐาน
ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีพื้นที่ที่มีความเหมาะสมต่อการเลี้ยง "โคเนื้อ" อีกทั้งรัฐบาลมีนโยบาย ผลักดัน “โคเนื้อไทย” เป็นสินค้าอุตสาหกรรมระดับพรีเมี่ยม ด้วยการแปรรูปพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน รูปแบบ และบรรจุภัณฑ์ของสินค้า โดยภูมิภาคที่มีการเลี้ยงโคเนื้อมากที่สุด คือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 46.85 รองลงมาคือภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ร้อยละ 20.32 17.67 และ 15.16 ตามลำดับ ซึ่ง จังหวัดที่เลี้ยงโคเนื้อมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ นครราชสีมา สุรินทร์ กาญจนบุรี ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด สกลนคร และนครศรีธรรมราช
และด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่เกิดจากภาวะโลกร้อนในขณะนี้ เริ่มส่งผลกระทบรุนแรงต่อผลผลิตอาหารทั่วโลก สำหรับประเทศไทย นักวิทยาศาสตร์ด้านการเกษตรพบว่าความแปรปรวนของ ภูมิอากาศจะมีผลกระทบรุนแรงต่อพืชผลการเกษตรที่สำคัญหลายชนิด โดยเฉพาะ ข้าว ข้าวโพด อ้อย และยังมีผลกระทบต่อผลผลิตการเกษตรหลายช่องทางเช่น ภาวะน้ำท่วม ภาวะฝนแล้ง อุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอุณหภูมิตอนกลางคืนในช่วงที่ข้าวกำลังออกดอก จะกระทบกระบวนการสังเคราะห์แสงของข้าว ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงเป็นต้น การเลี้ยงโคเพื่อเศรษฐกิจและปากท้องพี่น้องชาวเกษตรกรจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและทำได้ง่ายกว่าในภาวะปัจจุบัน ในการขับเคลื่อนโครงการฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม มุ่งหวังให้เกษตรผู้เลี้ยงสัตว์ ได้รับประโยชน์โดยตรง สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกร ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มุ่งหวังให้โครงการแปลงใหญ่โคไทยเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม มีแหล่งทุนหมุนเวียนสำหรับการกู้ยืมเพื่อการลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้ บรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ที่เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และสถานการณ์อุทกภัย เสริมสภาพคล่องให้กับเกษตรกร ผ่านการสนับสนุนการทำปศุสัตว์ คือ การเลี้ยงโคนั่นเอง การเลี้ยงโคนั้นเลี้ยงไม่ยาก สามารถคืนทุนได้เร็ว พี่น้องเกษตรกรมีโอกาสจับเงินหลักแสน หลักล้านได้ง่าย สามารถปลดหนี้ และยังมีเงินเพิ่มขึ้นในครัวเรือน โครงการนี้จะช่วยให้ประชาชนที่อยู่ในระดับฐานราก โดยเฉพาะภาคการเกษตรมีความเข้มแข็ง หลุดพ้นจากความยากจน เป็นโอกาสที่จะมีรายได้เสริมและสามารถพัฒนาเป็นอาชีพหลักในอนาคตได้
วัตถุประสงค์
3.1 เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ และสร้างอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อ อย่างยั่งยืนให้เกษตรกรในชุมชน
3.2 เพื่อลดต้นทุนด้านอาหารสัตว์
3.3 เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตโคเนื้อของกลุ่มเกษตรกรจากการเลี้ยงโคขุน
3.4 เพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาโคเนื้อทั้งระบบในชุมชน

เป้าหมาย
โครงการ “แปลงใหญ่โคไทย”
เกษตรกร 30 ราย ต่อ กลุ่ม
แม่โคพื้นเมือง 300 ตัว ต่อ กลุ่ม
โคขุน 200 ตัว/รอบการผลิต ต่อ กลุ่ม
แผนบริหารจัดการและใช้ประโยชน์หลังจากสิ้นสุดโครงการ
กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อแปลงใหญ่พัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อเชื่อมโยงทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ (ตลาดผลิตภัณฑ์เนื้อโค)
ซึ่งมูลค่าเพิ่มจากการขุนโคคอกกลางในระดับกลางน้ำจะถูกปันผลไปยัง เกษตรกรสมาชิกผู้เลี้ยงโคต้นน้ำ เกิดรายได้และเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในชุมชน ซึ่งนอกจากจะเป็นการ สร้าง อาชีพการเลี้ยงโคเนื้อที่มั่นคงแล้ว ยังสร้างอาชีพที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่การผลิตโคเนื้อ ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์ทรัพยากร ในชุมชนอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ผลผลิต (OUTPUT)
(1) มีผลผลิตลูกโคไทยทาจิ จำนวน 180 ตัว/ปี คิดเป็นมูลค่า 2,880,000 บาท
(2) มูลโคของแม่โคพื้นเมือง 330,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 495,000 บาท
(3) โคไทยทาจิขุน จำนวน 200 ตัว/รอบการผลิต (240 วัน) คิดเป็นมูลค่า 8,400,000 บาท
(4) มูลโคขุน 220,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 330,000 บาท
ผลลัพธ์ (OUTCOME)
(1) สร้างอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อที่ยั่งยืนแก่กลุ่มเกษตรกรเชื่อมโยงการพัฒนาระดับต้นน้ำ-กลางน้ำ- ปลายน้ำ สร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในหมู่บ้าน
(2) ลดต้นทุนค่าอาหารโคขุน
(3) สร้างรายได้แก่กลุ่มเกษตรกรปลูกพืชอาหารสัตว์จำหน่าย
(4) เพิ่มการจ้างงานในหมู่บ้าน สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจรากฐาน